
ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ สิ่งแรกที่คุณแม่จะทำคือการไป ฝากครรภ์ สำหรับคุณแม่มือใหม่อาจจะยังไม่ทราบการเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่จะไปฝากครรภ์ หลายท่านอาจมีข้อสงสัยว่าระหว่างโรงพยาบาลรัฐบาลกับโรงพยาบาลเอกชนต่างกันอย่างไร และควรไปฝากครรภ์ที่ไหนถึงจะรู้สึกสบายใจ
สารบัญบทความ
- ทำไมต้องฝากครรภ์
- ขั้นตอนการฝากครรภ์
- ฝากครรภ์ที่ไหนดี
- 1. เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
- 2. เลือกสถานพยาบาลที่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก
- 3. แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์
- 4. ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์มีความเหมาะสม
- 5. สถานพยาบาลที่มีการบริการที่ดี
- เปรียบเทียบฝากครรภ์กับสถานพยาบาลรัฐ Vs เอกชน
- ตรวจและฝากครรภ์กับ Beyond IVF
ทำไมต้องฝากครรภ์
สิ่งแรกที่ควรรู้สำหรับผู้ที่อยากมีลูก คือ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องฝากครรภ์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพดี แข็งแรงตลอดการตั้งครรภ์ หากมีปัญหาหรือสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตนด้านโภชนาการ การใช้ยาต่างๆ เพศสัมพันธ์ การเตรียมตัวสำหรับการคลอด และการให้นมบุตร รวมทั้งการวางแผนครอบครัวหลังจากคลอดบุตรแล้ว นอกจากนั้นยังต้องรู้จักสังเกตความผิดปกติของการตั้งครรภ์และอาการเจ็บท้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณแม่ตั้งครรภ์จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์เมื่อมาฝากครรภ์
ถ้าไม่ฝากครรภ์ได้ไหม
การตั้งครรภ์ในแต่ละช่วงอายุครรภ์มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งคุณแม่และทารก ระหว่างการตั้งครรภ์อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นได้ เช่น โรคเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ ภาวะรกต่ำ ภาวะรกเสื่อม หากไม่ติดตามการเจริญเติบโตของทารก อาจทำให้เกิดภาวะแท้งได้
เนื่องจากหากไม่ได้ฝากครรภ์คุณแม่จะไม่รู้เลยว่าทารกกี่เดือนแล้ว กลับหัวหรือยัง จะคลอดช่วงไหน ไม่สามารถประเมิณช่วงเวลาคลอดได้ ซึ่งจะนำพามาสู่ความร้ายแรงที่ไม่คาดคิด
บทความอ่านเพิ่มเติม : ข้อควรรู้ “ฝากครรภ์” การเตรียมตัวฝากท้องครั้งแรก สำหรับคุณแม่มือใหม่
ขั้นตอนการฝากครรภ์
- พบแพทย์ แพทย์จะมีการซักประวัติอย่างละเอียด ทั้งโรคประจำตัว ยาที่ใช้รักษาโรคประจำตัว รวมถึงโรคประจำตัวของคนในครอบครัว
- ตรวจร่างกายเบื้องต้น ชั่งน้ำหนัก วัดความดัน
- ตรวจเลือดคุณแม่ เพื่อดูพาหะธาลัสซีเมีย ภูมิคุ้มกัน กรุ๊ปเลือด ความเข้้มข้นของเลือด และโรคติดต่อต่างๆที่อาจมีผลต่อลูก
- ตรวจครรภ์ แพทย์จะอัลตราซาวด์ตรวจท่าทางของเด็ก วัดการเจริญเติบโตของทารก ฟังการเต้นของหัวใจทารก ตรวจประเมินการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
- จ่ายยาบำรุง แพทย์จะให้ยาบำรุงหรือวิตามินมารับประทานเพื่อบำรุงครรภ์
- นัดหมายในครั้งต่อไป แพทย์จะนัดหมายการฝากครรภ์ครั้งต่อไป ควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อความต่อเนื่อง
ฝากครรภ์ที่ไหนดี
สำหรับผู้ที่เตรียมตั้งครรภ์ หากจะตัดสินใจเลือกฝากครรภ์ที่ไหนดี ควรฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้และสะดวกที่สุด อาจจะเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้บ้าน เพราะหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น จะได้ไปโรงพยาบาลได้สะดวกรวดเร็ว
หากเป็นสถานพยาบาลที่คุณแม่มีประวัติการรักษาโรคประจำตัวมาก่อนยิ่งดี เพราะคุณหมอจะมีประวัติว่าคุณแม่เคยเป็นโรคอะไร ใช้ยาอะไร และจะมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือไม่ ส่วนคุณแม่ที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนอาจจะฝากครรภ์กับคุณหมอสูติท่านเดิมก็ได้
1. เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน
มีเลขใบอนุญาตจดทะเบียนสถานพยาบาล
สถานพยาบาลในประเทศไทยโดยมากแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ สำหรับการฝากครรภ์สามารถอยู่ในรูปแบบสูตินรีเวชกรรม โดยที่ทุกสถานพยาบาลจะต้องมีใบประกอบถูกต้องที่เรียกว่า ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล หรือใบอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาล
สถานพยาบาลสะอาด ปลอดภัย
ในทุกสถานพยาบาล สิ่งที่ควรจะคำนึงเป็นอันดับต่อไปก็คือ ความสะอาด ปลอดภัย ความสะอาดของเครื่องมือที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ในการตรวจร่างกายต่างๆ ทั้งเข็มเจาะเลือด เข็มฉีดยา ความสะอาดของพนักงานทั้งการแต่งกายและการปฏิบัติตนต้องรักษาความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ความสะอาดของห้องต่างๆ มีการทำความสะอาดอย่างถูกต้องและถูกหลักองค์การอนามัยโลก
ถ้าเป็นที่ Beyond IVF เราจะทำความสะอาดทุกชั่วโมง เพื่อรักษาความสะอาดและความปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงโควิด19 และเพื่อความสบายใจของลูกค้าที่เข้ามารับบริการ
อุปกรณ์ครบครัน ทันสมัย
เทคโนโลยีเป็นอีกด้านในปัจจุบันที่เกิดการแข่งขันกันระหว่างคลินิกค่อนข้างสูง โดยที่แต่ละคลินิกพยายามที่จะหาเครื่องมือใหม่ๆและทันสมัย เพื่อให้ได้ผลรับที่ดีที่สุดและทำให้ผู้รับบริการมีความพึงพอใจ
โดยปกติการฝากครรภ์จะใช้เทคโนโลยีของเครื่องอัลตราซาวด์แค่อย่างเดียวเพื่อตรวจดูท่าทางของทารกในครรภ์ ดูความผิดปกติในครรภ์ และทำให้คุณแม่ได้เห็นหน้าลูกที่อยู่ในครรภ์ แต่ในปัจจุบันเครื่องมือทางการแพทย์ยังไม่ได้มียี่ห้อที่หลากหลายมาก ทำให้เทคโนโลยียังมีความใกล้เคียงกัน
2. เลือกสถานพยาบาลที่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก
เมื่อคุณแม่ไปฝากครรภ์แล้ว คุณหมอจะทำการนัดตรวจครรภ์หลายครั้งในช่วงแรกจะมีการนัดตรวจครรภ์ในทุกๆเดือน พอถึงช่วงโค้งสุดท้ายใกล้คลอดคุณหมอจะนัดตรวจถี่กว่าเดิมอาจจะทุกๆ 2 อาทิตย์
ดังนั้นการเลือกโรงบาลหรือคลินิกใกล้บ้านจึงสำคัญ นอกจากจะสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว เมื่อคุณแม่มีเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ็บท้อง มีเลือดออก ฯลฯ จะสามารถไปถึงโรงพยาบาลได้ทันเวลา
3. แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์
ในการฝากครรภ์และการคลอดบุตรจำเป็นต้องเป็นแพทย์ทางด้าน สูตินรีเวช เพราะแพทย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญและชำนาญในเรื่องของการฝากครรภ์ การคลอดบุตร และให้การรักษาคุณแม่ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ หรือการดูแลคุณแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอดบุตร
โดยสูติแพทย์จะมีทักษาในการจัดการเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ให้คุณแม่แต่ละท่าน รวมถึงประเมินความเสี่ยง การรักษาโรค และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ได้
4. ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์มีความเหมาะสม
ราคาฝากครรภ์กับโรงพยาบาลรัฐ
- ค่าฝากครรภ์ครั้งแรก (รวมค่าตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ค่าแพทย์ ฯลฯ) ประมาณ 1,500 บาท
- ค่าตรวจครรภ์ ครั้งละประมาณ 80-300 บาท
- ค่ายาตลอดการตั้งครรภ์ ประมาณ 1,000 บาท
- ค่าอัลตร้าซาวด์ ครั้งละประมาณ 500 บาท
- ค่าวัคซีน ประมาณ 200 บาท
หมายเหตุ ราคาข้างต้นเป็นราคาโดยประมาณเท่านั้น และยังไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ กรณีที่คุณแม่มีภาวะเสี่ยงต่างๆ
ราคาฝากครรภ์กับโรงพยาบาลหรือคลินิกเอกชน
ส่วนมากจะเป็นแพ็คเกจเหมาจ่าย โดยครอบคลุมการตรวจทั้งหมด และแบ่งชำระเป็นงวด ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งส่วนมากโรงพยาบาลเอกชนจะรวมการฝากครรภ์ไว้กับแพ็คเกจคลอดอยู่แล้ว โดยจะมีค่าใช่จ่ายดังนี้
- ในกรณีที่คลอดธรรมชาติ ราคาแพ็คเกจจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-50,000 บาท
- ในกรณีที่ผ่าคลอด ราคาแพ็คเกจจะอยู่ที่ 45,000-100,000 บาท
หมายเหตุ ราคาข้างต้นเป็นราคาโดยประมาณเท่านั้น และยังไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ กรณีที่คุณแม่มีภาวะเสี่ยงต่างๆ
5. สถานพยาบาลที่มีการบริการที่ดี
การบริการคนไข้ที่ดี จะต้องบริการด้วยความเต็มใจในการบริการ การทำงานโดยมีใจรักจะแสดงออกมาทางกาย ด้วยรอยยิ้ม อารมณ์ดี และสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ไม่ขึ้นเสียงกับผู้มารับบริการ
สำหรับการบริการคุณแม่ตั้งครรภ์ จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีอารมณ์ที่อ่อนไหวกว่าปกติ ถ้าพยาบาลพูดจาดีบริการดีก็จะทำให้คุณแม่หายกังวลไปได้
เปรียบเทียบฝากครรภ์กับสถานพยาบาลรัฐ Vs เอกชน
การฝากครรภ์ คุณแม่จะเลือกโรงพยาบาลรัฐบาลหรือโรงพยาบาลเอกชน ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละท่าน แต่ถ้าถามว่าโรงพยาบาลรัฐบาลกับโรงพยาบาลเอกชนต่างกันอย่างไร จะต่างกันตรงที่
- โรงพยาบาลรัฐบาล จะใช้เวลาในการรอนานกว่าปกติ เพราะว่ามีผู้ที่ไปรับบริการจำนวนมาก คุณหมอที่ตรวจจะผลัดเปลี่ยนกันไปไม่ใช่คุณหมอท่านเดิม ส่วนข้อดีของโรงพยาบาลรัฐบาลคือค่าใช้จ่ายไม่แพง
- โรงพยาบาลเอกชน จะใช้เวลาในการรอไม่นาน และเวลาที่คุณแม่ไปตรวจครรภ์ ไปฝากครรภ์ รวมถึงตอนคลอด จะเป็นคุณหมอท่านเดิมที่คอยดูแลคุณแม่ทุกครั้ง หรือที่เรียกกันว่า ฝากครรภ์พิเศษ เพียงแต่ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์และการคลอดบุตรจะค่อนข้างสูง
ตรวจและฝากครรภ์กับ Beyond IVF
เพราะที่ Beyond IVF ก่อนจะเปิดสถานพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตรยาก เราต้องศึกษาเรื่องการดูแลครรภ์อย่างละเอียดลึกซึ้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญอย่าง อาจารย์ต้น พูนศักดิ์ สุชนวนิช ที่มีประสบการณ์ในด้านสูตินรีแพทย์มานานกว่า 20 ปี ไม่ใช่แค่การรักษาภาวะมีบุตรยาก ไม่ใช่แค่การฝากครรภ์ แต่ยังรวมไปถึงการคลอดบุตร
เพราะฉะนั้น ที่ Beyond IVF เราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับทางด้านนี้ค่อนข้างเยอะ รวมถึงในปัจจุบันสำหรับลูกค้าที่ฝากครรภ์กับเรา เราจะไม่มีแพ็คแกจที่ตายตัวหรือมีการดูแลที่เหมือนกันทุกเคส แต่เราจะออกแบบการดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์ในแต่ละเคสต่างกันออกไปตามอาการที่ควรจะเป็น
การตรวจและฝากครรภ์ที่ Beyond IVF จะอิงจากผลการตรวจร่างกายเป็นหลัก เช่น ตรวจโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ตรวจโรคโลหิตจาง ตรวจโรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ โรคหลอดประสาทไม่ผิด เป็นต้น
คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่มีความกังวลเกี่ยวกับด้านพันธุกรรม มีความกังวลเกี่ยวกับโรคประจำตัวที่มี เราจะติดตามดูเป็นพิเศษเพื่อให้คุณแม่สบายใจมากขึ้น สามารถติดต่อนัดหมายเพื่อปรึกษาคุณหมอได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านทางการแอดไลน์ @beyondivf