หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ปัญหาการเสี่ยงมีลูกยาก หรืออาการที่สาวๆแก่ก่อนวัย อาจจะมาจากการมีฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล ซึ่งการจะปรับฮอร์โมนเพศหญิงหลักๆที่เราจะมาแนะนำกัน นั้นสามารถทำได้ถึง 7 วิธี มาดูกันว่าต้องทำอย่างไร
รู้จักฮอร์โมนเพศหญิง
ฮอร์โมนเพศหญิงประกอบได้ด้วยฮอร์โมนหลายชนิด ซึ่งฮอร์โมนที่มีความสำคัญกับเพศหญิง ได้แก่
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
- ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)
- ฮอร์โมน Follicle Stimulating Hormone (FSH)
- ฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone)
ซึ่งฮอร์โมนแต่ละตัวจะมีความสำคัญต่อมดลูก และการทำงานของรังไข่ ที่ส่งผลต่อประจำเดือน การตั้งครรภ์ รวมไปถึงการนอนหลับ สภาพอารมณ์ สิว ริ้วรอย และน้ำหนักตัวอีกด้วย
ฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล เกิดจากอะไร
สาเหตุที่อาจส่งผลทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล มีดังนี้
- โรคเบาหวาน ส่งผลให้ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) เกิดความผิดปกติ และกระทบไปถึงฮอร์โมนเอสโตรเจน ไทรอยด์ โปรเจสเตอโรน และคอร์ติซอลด้วย
- ยาที่ใช้ ยาบางชนิดส่งผลต่อความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนบำบัด ยารักษาโรคมะเร็ง
- ความเครียด โดยเฉพาะผู้ที่มีความเครียดสะสมเรื้อรัง ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติได้
- การใช้ชีวิต เช่น การกินอาหารโภชนาการไม่เหมาะสม หรือกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่เลือกใช้ส่วนผสมที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนเป็นประจำ เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
- เคมีปนเปื้อนเข้าร่างกาย มักพบได้ในอาหาร เช่น ยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ ยาฆ่าเชื้อในเนื้อสัตว์ เป็นต้น
- ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) โดยปกติต่อมไทรอยด์จะหลั่งฮอร์โมนออกมาเพื่อควบคุมการทำงานของหัวใจ สมอง และกล้ามเนื้อ ทำให้คุณมีพลังงานเพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักขึ้น เป็นต้น
- ความผิดปกติของต่อมหมวกไต (Congenital Adrenal Hyperplasia: CAH) ทำให้ขาดเอนไซม์จากต่อมหมวกไต ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ ความดันเลือด และระบบภูมิคุ้มกัน
- กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing Syndrome) เกิดจากการที่ร่างกายมีฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ความดันเลือด และเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิว น้ำหนักขึ้น ผิวช้ำง่าย เป็นต้น
- โรคแอดดิสัน (Addison’s Disease) ส่งผลให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ จนรู้สึกอ่อนเพลีย ความดันเลือดต่ำ น้ำหนักลด
- กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ (Turner’s syndrome) เกิดจากโครโมโซมผิดปกติและอาจตรวจพบได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา โดยอาจทำให้โตช้า และมีรอบเดือนผิดปกติ
- กลุ่มอาการพราเดอร์-วิลลี่ (Prader-Willi Syndrome) เป็นอีกหนึ่งอาการจากพันธุกรรมที่ส่งผลต่อสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้สมอง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีบทบาทสำคัญต่อฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ผู้ที่มีกลุ่มอาการพราเดอร์-วิลลี่ จึงอาจมีฮอร์โมนเพศต่ำ
ตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนหลายชนิด เมื่อตับอ่อนอักเสบจึงมีส่วนทำให้ฮอร์โมนหลายชนิดผิดปกติ เช่น อินซูลิน กลูคากอน (Glucagon) และฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone)
อาการสัญญาณเตือนฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล มีดังนี้
1. ประจำเดือนมาไม่ปกติ
โดยปกติแล้วประจำเดือนของผู้หญิงจะมาทุกๆ 28 วัน หากประจำเดือนมามากจนเกินไปหรือขาดหายไป เป็นสัญญาณเตือนว่าเรามีฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สิวขึ้น
หากคุณผู้หญิงมีสิวขึ้นก่อนเป็นประจำเดือนถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากสิวขึ้นบ่อยไม่หายขาด ขึ้นเป็นประจำ อาจมีปัญหามาจากฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งส่งผลต่อต่อมไร้ท่อ ต่อมไขมันที่เซลล์ของผิวหนัง และรูขุมขนทำงานผิดปกติทำให้เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิว
3. นอนไม่หลับและหลับยาก
โดยปกติแล้วฮอร์โมนที่ช่วยทำให้นอนหลับสบายขึ้นคือฮอร์โมนเมลาโทนิน แต่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ก็มีส่วนช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้นด้วยเช่นกัน หากฮอร์โมนใดฮอร์โมนหนึ่งในสองตัวนี้มีปริมาณที่ต่ำกว่าปกติ จะส่งผลให้นอนไม่หลับหรือนอนหลับยากได้
4. มีอาการหลงลืม
ฮอร์โมนที่ส่งผลกระทบต่อการควบคุมสมอง สารด้านสื่อประสาท ที่มีผลต่อสมาธิและความจำ คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ยิ่งในช่วงใกล้หมดประจำเดือนจะมีอาการหลายอย่างที่เชื่อมโยงกับระดับฮอร์โมนและต่อมไทรอยด์ จึงทำให้การทำงานของสมองอาจไม่มีประสิทธิภาพในช่วงเวลานั้น
5. ปวดท้อง
อาการปวดท้องบริเวณท้องน้อยที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือระหว่างมีประจำเดือนของแต่ละคนนั่นจะต่างกันและไม่ถือว่าผิกปกติอะไร
แต่ถ้ามีอาการปวดท้องหนักจนทนไม่ไหว ปวดจนลุกขึ้นมาทำอะไรไม่ได้ ทานยาแก้ปวดท้องแล้วยังไม่หายหรือไม่ดีขึ้น อาจส่งผลมาจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนผิดปกติ
ทั้งนี้ไม่ใช่อาการปวดท้องทุกชนิดจะเกี่ยวกับฮอร์โมน เพราะอาการปวดท้องมีหลายสาเหตุหากปวดมากควรรีบปรึกษาแพทย์
6. อ่อนเพลียตลอดเวลา
เมื่อร่างกายมีความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ส่งผลมาจากฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์มีจำนวนน้อยลงนั่นเอง
7. อารมณ์แปรปรวน
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนส่งผลให้มีอาการหงุดหงิดง่าย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนถือเป็นฮอร์โมนที่สำคัญต่อสมองและอารมณ์อีกด้วย
8. น้ำหนักเพิ่ม
เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลงจะทำให้รู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ ต่อมความหิวจะทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ผู้หญิงหลายๆคนอยากอาหารและทานเยอะขึ้นจนทำให้น้ำหนักเพิ่มนั่นเอง
9. ปวดหัว
เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวได้ หากในช่วงก่อนมีประจำเดือนพบว่ามีอาการปวดหัวอาจเป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความผิดปกติ
10. ช่องคลอดแห้ง
สาเหตุที่ทำให้ช่องคลอดแห้งบ่อยๆอาจเป็นเพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนมีปริมาณต่ำ จึงส่งผลต่อความสมดุลในการทำงานของช่องคลอด
11. ความต้องการทางเพศลดลง
ในเพศหญิงจะมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเช่นเดียวกับเพศชาย หากระดับฮอร์โมนตัวนี้ลดลงหรือน้อยเกินไป ก็จะส่งผลต่อความต้องการทางเพศนั่นเอง
12. หน้าอกมีการเปลี่ยนแปลง
โดยปกติแล้วในช่วงก่อนมีประจำเดือนผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าขนาดของหน้าอกขยายใหญ่ขึ้น เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนเพศหญิงตัวอื่นๆ
หากท่านไหนรู้สึกว่าขนาดของหน้าอกเล็กลง อาจเกิดจากระดับฮอร์โมนเพศหญิงลดต่ำลง
การปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง
เวลาฮอร์โมนไม่สมดุล คุณอาจรู้สึกอ่อนเพลีย ท้องอืด อารมณ์แปรปรวน รอบเดือนมาไม่ปกติ ผมร่วง ใจสั่น รู้สึกไม่โฟกัสในการทำงาน จนอาจส่งผลให้เป็นผู้ที่ภาวะมีบุตรยากได้ในท้ายที่สุด
ซึ่งวิธีที่จะช่วยปรับให้ฮอร์โมนในร่างกายสมดุล คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตรวมถึงกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ยกตัวอย่างเช่น การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักโภชนาการ หากิจกรรมทำเพื่อช่วยคลายความเครียดหรือออกกำลังกายนั่นเอง
ทำไมต้องปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล
ฮอร์โมนจะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานหลักๆของระบบและอวัยวะภายในร่างกาย มันจะเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงานระหว่างเซลล์กับส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อให้เกิดหน้าที่ต่างๆของร่างกาย เช่น ระบบเผาผลาญ ระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกันอารมณ์ ระบบสืบพันธ์ เป็นต้น
เมื่อเราปรับฮอร์โมนให้สมดุลก็จะช่วยให้
- การจัดการน้ำหนัก
- การควบคุมอารมณ์
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรือรัง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
- สุขภาพสตรี
- อาการเมื่อยล้าและนอนไม่หลับ
- ลดเความเสี่ยงในการเกิดภาวะกระดูกบาง
- แก้ปัญหาผมบางผมร่วง
- ไมเกรน
หากฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุล ส่งผลเสียอย่างไร
เมื่อระดับฮอร์โมนไม่สมดุลอาจก่อให้เกิดภาวะหรืออาการผิดปกติต่างๆ ภายในร่างกายได้ เช่น การเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นภายในร่างกายลดลง ไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้นทำให้เกิดภาวะโรคอ้วน และส่งผลต่อปัญหาผิวพรรณ ผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นแลดูแก่กว่าวัย
นอกจากนี้ยังทำให้นอนไม่หลับนอนหลับยาก อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อาจเกิดภาวะซึมเศร้า ความจำเสื่อม ความต้องการทางเพศลดลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย
แนะนำ 7 วิธีปรับฮอร์โมนเพศหญิง
1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนไม่เพียงพอก่อให้เกิดความเครียดสะสม ส่งผลให้ฮอร์โมนความเครียดถูกหลั่งออกมามากเกินไป และไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศ
การนอนไม่เพียงพอยังส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) ที่จะหลั่งออกมาในช่วงที่จะมีการตกไข่ หากฮอร์โมน LH ผิดปกติ ส่งผลต่อการตกไข่และรอบเดือนที่ไม่ปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของการมีบุตรยาก
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนได้ เช่น วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิก โยคะ ไทเก๊ก เป็นต้น ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง นานครั้งละ 30 นาที
3. ควบคุมน้ำหนักให้พอดีเกณฑ์
ในผู้ที่มีน้ำหนักมากหรือน้อยเกินไป ส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง หรือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผิดเพี้ยน ทำให้รังไข่ทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไข่ไม่ตกซึ่งเป็นสาเหตุของอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ มีข้อมูลทางการแพทย์เปิดเผยว่าคนอ้วนจะมีปัญหาเรื่องการตกไข่และการมีประจำเดือน ทำให้ท้องยากกว่าคนน้ำหนักตัวปกติ ถึง 2 เท่า
4. ปรับโภชนาการอาหาร
การกินอาหารส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมน อยากมีสุขภาพดีต้องทานอาหารดีๆ อาหารช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนได้ หากกินแต่อาหารไขมันสูง น้ำตาล ของหวาน แอลกอฮออล์ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อฮอร์โมนที่ผิดเพี้ยน
โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน จำเป็นต้องหันมาทานอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ได้แก่
1.เพิ่มโปรตีน
การทานโปรตีนจากสัตว์อาจมีฮอร์โมนเร่งเนื้อแดงตกค้างและมีไขมันสูงทำให้ผู้หญิงมีความเสี่ยงมีบุตรยาก ดังนั้นควรเลือกทานโปรตีนสัตว์ที่มีแหล่งโปรตีนชั้นดีและไม่ติดมัน เช่น ไข่ เนื้อปลา อกไก่ หรือ นมแพะ เป็นต้น
ส่วนโปรตีนจากพืช ช่วยลดความเสี่ยงจากการมีบุตรยาก โดยโปรตีนจากพืช ที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและช่วยเสริมภาวะเจริญพันธุ์ ได้แก่ ถั่วเหลือง อัลมอนด์ งาดำ ควินัว เมล็ดฟักทอง
2.ลดคาร์บ หรือคาร์โบไฮเดรต
การทานอาหารแบบลดคาร์บประเภท Refined Carb ลง ช่วยลดระดับอินซูลิน ส่งผลต่อฮอร์โมนที่สมดุล วงจรการตกไข่เป็นปกติขึ้น ทำให้มีอัตราการตั้งครรภ์สูงขึ้น
ดังนั้น ผู้หญิงที่เตรียมตั้งครรภ์ควรเลือกทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือ คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ขัดสี (Complex Carb) ได้แก่ ข้าวกล้อง ควินัว และธัญพืชที่ช่วยเสริมภาวะเจริญพันธ์ (Fertility) เช่น อัลมอนด์ แฟล็กซีด และลูกเดือย งาดำ เมล็ดฟักทอง
3.งดหวาน
น้ำตาลทำลายเซลล์ไข่ของผู้หญิง เนื่องจากน้ำตาลจากอาหารแปรรูป เมื่อทานเข้าไปแล้วร่างกายจะย่อยทันทีส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเฉียบพลัน และกระตุ้น “การหลั่งอินซูลิน” ซึ่งเป็นสาเหตุในการเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS หากเกิดภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) จะส่งผลให้ไข่ไม่ตกเรื้อรัง ไข่ใบเล็กด้อยคุณภาพ
5. ดูแลจัดการความเครียด
ทำจิตใจให้แจ่มใสเพื่อลดความเครียด เพราะความเครียดถูกจัดเป็นสิ่งที่ซับซ้อนพอๆกับการรักษาสมดุลของฮอร์โมนให้มีสุขภาพที่ดี ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพทางจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน
6. ลด ละ เลิกการสูบบุหรี่
เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้นิโคตินเข้าไปขัดขวางการผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติของรังไข่ และทำให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนออกมาได้น้อยไม่เพียงพอต่อการสร้างเซลล์ไข่หรือปรับสมดุลให้กับโพรงมดลูก
7. ใช้ฮอร์โมนเสริมเพื่อทดแทน
การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนชนิดสกัดจากธรรมชาติ (Bio-identical Hormone) ที่มีโครงสร้างเดียวกับฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย
การให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนนั้นอาจให้ร่วมกับฮอร์โมนเพศหญิงอีกตัวหนึ่ง คือ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับฮอร์โมนเพศตามธรรมชาติ จะช่วยทำให้ผิวหนังเต่งตึงและชุ่มชื้น ลดอาการผิวหนังอักเสบ ผมจะหนาและดกดำขึ้น ช่วยเพิ่มระดับของความจำ มีสมาธิมากขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้ยาปรับฮอร์โมนเพศหญิง
การใช้ยาปรับฮอร์โมนสิ่งที่ควรระวัง คือ ควรสังเกตความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นและหากมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อาการดังกล่าวคือ
- มีเลือดไหลทางช่องคลอดผิดปกติ
- ประจำเดือนมาผิดปกติ และมีการรับประทานยาปรับฮอร์โมนด้วย
- คลำแล้วพบก้อนในเต้านม
- ปวดหัวขั้นรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้ อาเจียน
- เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด
- อาเจียนเป็นเลือด
ข้อสรุป
การปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล จะช่วยลดความเสี่ยงของการมีบุตรยาก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยปรับเรื่องอารมณ์แปรปรวน ปัญหาผิวพรรณ ซึ่งวิธีที่ช่วยปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้สมดุล คือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ จัดการความเครียด เพื่อสงเสริมให้ฮอร์โมนทำงานได้อย่างปกติและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการดูแลและปรับฮอร์โมนด้วยตัวเองข้างต้น หากคุณผู้หญิงท่านไหนรู้สึกว่าตนเองมีอาการที่บ่งบอกว่าฮอร์โมนไม่สมดุลแนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ แพทย์จะแนะนำและวางแผนการปรับฮอร์โมนให้ได้อย่างเหมาะสม หากคุณผู้หญิงท่านใดมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @beyondivf