อยากเลือกเพศลูก คำถามที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก บางครอบครัวอยากได้ลูกสาว บางครอบครัวอยากได้ลูกชาย ยิ่งสถานการณ์การมีบุตรในไทยต่ำลง แต่ละครอบครัวต้องการมีลูกเพียงคนเดียว ยิ่งทำให้เกิดความคาดหวังให้ลูกเป็นเพศที่ต้องการ คำแนะนำก็จะแตกต่างกันไปตามแหล่งที่หาข้อมูล มีทั้งวิธีเลือกเพศบุตรแบบธรรมชาติ หรือในปัจจุบันที่โลกเราพัฒนาไปอย่างมากกับการเลือกเพศบุตรด้วยเทคโนโลยี วิธีไหนทำได้จริง
การเลือกเพศลูก มีความสำคัญอย่างไร
นอกจากความต้องการด้านความรู้สึกแล้วการเลือกเพศลูกมีความสำคัญอย่างมากในกรณีที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษมีโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกเฉพาะเพศใดเพศหนึ่งได้ เช่น โรคสังข์ทอง (Anhidrotic Ectodermal Dysplasia), โรคเลือด G6PD, โรคดาวน์ซินโดรมบางประเภท, โรคผิวหนังบางประเภท (Sex-linked Ichthyosis) ถ้าพ่อแม่หรือคนในครอบครัว (ปู่ย่า ตายาย พี่ป้า น้าอา) เคยมีประวัติว่าเป็นโรคเหล่านี้ลูกชายก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นได้สูง ในขณะที่ลูกสาวจะไม่เป็น จึงเป็นเหตุสำคัญให้บางครอบครัวจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการมีลูกชาย
การเลือกเพศลูกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งแนวทางในการรักษาคือรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ จะใช้วิธีเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ IVF/ICSI ในการรักษาพร้อมตรวจคัดกรองตัวอ่อน ด้วยวิธีตรวจ NGS โครโมโซมตัวอ่อนก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก โดยทั้งนี้การเลือกเพศลูกจึงแนะนำให้คำนึงถึงเรื่องโรคและความปลอดภัยเป็นหลักมากกว่าเทรนด์กระแสสังคม
ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดเพศของลูกน้อย
ภายในเซลล์ของร่างกายมนุษย์จะมีโครโมโซม หรือแท่งพันธุกรรมอยู่ 23 คู่ หรือ 46 แท่ง ซึ่งในจำนวนนี้ 22 คู่ หรือ 44 แท่ง จะเป็นแท่งพันธุกรรมที่เป็นตัวกำหนดลักษณะต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าตา ความสูง ความเตี้ย สีผม สีผิวหนัง เป็นต้น และอีกที่เหลือ 1 คู่ หรือ 2 แท่งจะเป็นแท่งพันธุกรรมที่เป็นตัวกำหนดเพศ หรือที่เราเรียกกันว่า โครโมโซมเพศ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าลูกเราจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง
คุณแม่จะมีโครโมโซมเพศเป็น XX ส่วนคุณพ่อจะมีโครโมโซมเพศเป็น XY หมายความว่า ในน้ำอสุจิของคุณพ่อจะมีตัวอสุจิอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ อสุจิที่มีโครโมโซมเพศคู่ X ที่เป็นตัวกำหนดให้เป็นลูกสาว และโครโมโซม Y ที่เป็นตัวกำหนดให้เป็นลูกชาย ส่วนเซลล์ไข่ของคุณแม่จะมีโครโมโซมเพศแบบเดียว คือ โครโมโซม X ในเวลาที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ จำนวนโครโมโซมจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 23 แท่ง เซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและของแม่จะรวมกันเมื่อเกิดการปฏิสนธิ ทารกจึงเป็นผลรวมทางพันธุกรรมของพ่อและแม่อย่างละครึ่ง ซึ่งอัตราส่วนของอสุจิที่มีโครโมโซม X ต่ออสุจิที่มีโครโมโซม Y จะอยู่ที่ประมาณ 50% ต่อ 50% ดังนั้นในทางธรรมชาติแล้ว โอกาสที่จะได้ลูกชายหรือลูกสาวนั้นจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 ถ้าอสุจิของคุณพ่อตัวที่เจาะไข่เป็นตัว X ก็จะได้ลูกสาว แต่ถ้าเป็นตัว Y เจาะไข่ก็จะได้ลูกชาย
เพศหญิง
- ถ้าไข่ของคุณแม่ (22 + X) ผสมกับอสุจิของคุณพ่อที่มีโครโซม X (22 + X) ลูกที่เกิดมาก็จะเป็นลูกสาว ซึ่งมีโครโมโซม 44 แท่ง (หรือ 22 คู่) + XX
เพศชาย
- ถ้าไข่ของคุณแม่ (22 + X) ผสมกับอสุจิของคุณพ่อที่มีโครโซม Y (22 + Y) ลูกที่เกิดมาก็จะเป็นลูกชาย ซึ่งมีโครโมโซม 44 แท่ง (หรือ 22 คู่) + XY
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเลือกเพศลูก
หากต้องการเลือกเพศลูกด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเป็นทางความเชื่อ ที่แนะนำให้มีเพศสัมพันธ์ท่าต่าง การมูเตลูขอพร หรือแม่กระทั่งใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าช่วยเช่น การรักษามีบุตรยากแบบเด็กหลอดแก้วร่วมด้วยการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนย้ายกลับเข้าโพรงมดลูก ยังไม่มีวิธีใดที่ได้ผลลัพธ์ 100% เพียงแต่วิธีทางวิทยาศาสตร์มีโอกาสที่ค่อนข้างสูงที่สุดมากถึง 98.99%
การเลือกเพศลูกกับกฏหมายในประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถเลือกเพศลูกได้เนื่องจากยังผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 และตามประกาศแพทยสภา ในเรื่องมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งมีข้อกำหนดว่า “การตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก จะทำได้เฉพาะการตรวจวินิจฉัยโรคตามความจำเป็น และต้องไม่กระทำในลักษณะการเลือกเพศ โดยสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ให้บริการต้องได้รับหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้”
วิธีเลือกเพศลูก มีอะไรบ้าง
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการเลือกเพศลูกในประเทศยังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอยู่ แต่ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกเพศลูกด้วยวิธีธรรมชาติกับการเลือกเพศลูกด้วยการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้หลายๆคนยังคงสงสัยกันว่าวิธีที่สามารถเลือกเพศลูกได้จริงๆคือวิธีไหน ซึ่งเราจะมาลองพูดคุยถึงวิธีการเลือกเพศลูกทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่ 1.การเลือกเพศลูกด้วยวิธีธรรมชาติ 2.การเลือกเพศลูกด้วยวิธีเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีดังนี้
การเลือกเพศลูกด้วยวิธีธรรมชาติ
วิธีที่ 1 การเลือกทานอาหาร
อยากได้ลูกชาย
- ควรรับประทานที่มีโซเดียมและโพแทสเซียมสูง เช่น ถั่ว เนื้อสัตว์ที่สดหรือไม่สุก ปลาทุกชนิด ไส้กรอก ผักบางชนิดที่ไม่แช่เย็น (ยกเว้นผักต้องห้ามบางประเภท) มันฝรั่ง กล้วยหอม ของหวาน แยม ผลไม้ตากแห้งต่างๆ ลูกพรุน ลูกเกด อินทผลัม เกาลัด ผลไม้กวน ผลมะกอก แตงต่างๆ ขนมปังที่ไม่มีนม รวมทั้งชา กาแฟ
- อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม และอาหารทุกชนิดที่ทำจากนม ได้แก่ เนยแข็ง นมเปรี้ยว ขนมปังที่มีนมเป็นส่วนผสม โกโก้ ช็อกโกแลต มัสตาร์ด ผักสลัด กะหล่ำปลีสด หรือดอกกะหล่ำ ผักกาดหอม ผักบุ้ง
อยากได้ลูกสาว
- รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมน้อย พวกแป้ง นม ไข่ ผักสีเขียว ผลไม้แห้งและเนยที่ไม่เค็ม ผลไม้สดทุกชนิด (ยกเว้นสับปะรด)
- อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารรสเค็ม ชา กาแฟ เนยเค็ม เหล้าองุ่น
วิธีที่ 2 วันที่ควรมีเพศสัมพันธ์
อยากได้ลูกชาย
- ควรมีเพศสัมพันธ์กันในวันที่ไข่ตก เนื่องจากช่องคลอดจะมีสภาพความเป็นด่างสูง ทำให้อสุจิตัว Y จะวิ่งได้เร็วกว่าและจะเข้าไปเจาะไข่ได้ก่อน
อยากได้ลูกสาว
- ควรมีเพศสัมพันธ์กันก่อนวันตกไข่ประมาณ 2-3 วัน เนื่องจากพอถึงจังหวะที่ไข่ตก อสุจิตัว X จะคงทนต่อสภาพความเป็นด่างที่มีปริมาณมากกว่าได้
วิธีที่ 3 ความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์
อยากได้ลูกชาย
- ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยๆ ยิ่งน้อยครั้งจำนวนอสุจิตัว Y จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรงดหลั่งอสุจิก่อนมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อยๆเลย 5 วัน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้ลูกชายมากขึ้น
อยากได้ลูกสาว
- การมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยๆจะทำให้อสุจิตัว Y มีจำนวนลดลงถือว่าอสุจิ X มีคู่แข่งน้อยลงทำให้มีโอกาสได้ลูกสาวมากยิ่งขึ้น
แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวช่วยและการคาดเดาเท่านั้น ไม่ได้มีการการันตีว่าเมื่อทำทั้งหมดแล้วจะทำให้ได้เพศลูกตามที่ต้องการจริงๆ
วิธีที่ 4 การถึงจุดสุดยอด
กล่าวถึงความเชื่อที่ส่งต่อกันมาในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้ได้ลูกเพศตามที่ต้องการ
อยากได้ลูกชาย
- หากอยากได้ลูกชายความเชื้่อแนะนำว่าให้ถึงจุดสุดยอดพร้อมกันทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
อยากได้ลูกสาว
- หากอยากได้ลูกชายความเชื้่อแนะนำว่าให้ฝ่ายชายถึงจุดสุดยอดก่อนฝ่ายหญิง
แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวช่วยและการคาดเดาเท่านั้น ไม่ได้มีการการันตีว่าเมื่อทำทั้งหมดแล้วจะทำให้ได้เพศลูกตามที่ต้องการจริงๆ
การเลือกเพศลูกโดยการใช้เทคโนโลยี
การเลือกเพศลูกด้วยวิธีเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ เป็นวิธีที่คนนิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งวิธีการเลือกเพศลูกด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีดังนี้
การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI)
- ในส่วนของการกำหนดเพศ จากการรักษาแบบ IUI นั้น ไม่สามารถตรวจโครโมโซมอสุจิได้ ทำได้เพียงคัดกรองเชื้ออสุจิก่อนฉีดเข้าสู่โพรงมดลูก เช่น รูปร่างสมบูรณ์อัตราการเคลื่อนที่และอัตราการรอดชีวิต เพราะการรักษาแบบการทำ IUI คล้ายกับการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติซึ่งหากกล่าวแล้ว ก็เหมือนเกิดจากตามธรรมชาติเลย แต่มีบางความเชื่อที่กล่าวว่า อสุจิที่หัวโตมักจะเป็นเพศชาย ซึ่งหากเลือกตัวที่หัวใหญ่ก็อาจมีบุตรเพศชายได้มากกว่า แต่ทั้งหมดล้วนเป็นแค่ความเชื่อส่วนบุคคล เพศมักสุ่มเกิดโดยมีโอกาส 50/50 เท่ากัน ราคาประมาณ 20,000 บาท
อ่านเพิ่มเติม >> IUI คืออะไร? ราคาเท่าไหร่? คนมีลูกยากควรรู้ เพิ่มโอกาสมีลูก
การทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI
- การทำเด็กหลอดแก้ว IVF/ICSI จะเป็นการนำไข่กับอสุจิมาผสมกันภายนอกร่างกาย เพื่อให้เกิดเป็นตัวอ่อน ในขั้นตอนนี้จะมีการดูดเซลล์รกและนำไปตรวจโครโมโซม เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรม ซึ่งอาจเป็นการคัดกรองหาความผิดปกติ ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ หรือตรวจเพื่อการวินิจฉัย กรณีคู่สามีภรรยามีประวัติเสี่ยง เช่น มีประวัติโรคพันธุกรรมในครอบครัว ซึ่งเป็นการลดปัญหาที่ตัวอ่อนไม่ฝังตัว การแท้งในช่วงสามเดือนแรก หรือการตั้งครรภ์โครโมโซมที่ผิดปกติ ทำให้ทารกมีความผิดปกติแต่กำเนิด การตรวจ NGS สามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโชมได้ครอบคลุมทั้ง 23 โครโมโซมในครั้งเดียว ด้วยความแม่นยำสูง และมีอัตราการเกิดการผิดพลาด (False positive rate) ต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับเทคนิคอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นผลพลอยได้ที่สามารถตรวจวิเคราะห์เพศของตัวอ่อนได้อีกด้วย ราคาประมาณ 300,000 -400,000 บาท
ทั้งหมดนี้เป็นแค่ผลพลอยได้ที่ทำให้ทราบถึงเพศลูกเพียงเท่านั้น แต่ถ้าต้องการเลือกเพศลูกเลยโดยที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องพันธุกรรมมาก่อนจะยังทำไม่ได้เพราะยังผิดกฎหมายของประเทศไทยอยู่
ข้อสรุป
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นการเลือกเพศลูกด้วยวิธีธรรมชาติยังเป็นเพียงแค่ความเชื่อและตัวช่วยเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นข้อยืนยันว่าจะสามารถเลือกเพศลูกได้ 100% มีเพียงแต่วิธีการทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเท่านั้นที่สามารถเลือกเพศลูกได้ถึง 98.5% แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมายในประเทศไทย ในบางครอบครัวถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนมีความกังวลใจ หรือเคยมีประวัติว่าคนในครอบครัวเคยเป็นโรคที่จำเป็นต้องเลือกเพศลูกจริงๆ สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ช่วยหาแนวทางในการรักษาได้อย่างเหมาะสมในลำดับต่อไป
