ตอบคำถาม: ฮอร์โมนเอสโตรเจน คืออะไร?
- เอสโตรเจน (Estrogen) คือฮอร์โมนเพศหญิงชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการแสดงลักษณะความเป็นหญิงของร่างกาย เช่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล
- เอสโตรเจน มีผลอย่างมากต่อระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ไม่ว่าจะการควบคุมการตกไข่ การมีประจำเดือน และการปรับสภาพร่างกายให้เหมาะสมแก่การตั้งครรภ์
- เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือ ‘วัยทอง’ ซึ่งมีผลกระทบต่อร่างกายหลายส่วน อาทิ กระดูกพรุน ผิวพรรณดูโทรม อารมณ์แปรปรวน
- หากร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป ก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายเช่นกัน ไม่ว่าจะมีไขมันสะสมง่าย อารมณ์แปรปรวน นอกจากนี้ยังทำให้เซลล์ไข่ไม่โต ใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ด้วย
ฮอร์โมนเอสโตรเจน กับ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
ฮอร์โมนเอสโตรเจน
เป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งทำหน้าที่พัฒนาอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โดยส่วนใหญ่ผลิตจากรังไข่ แต่เมื่อตั้งครรภ์ฮอร์โมนนี้จะถูกผลิตออกมาจากรกอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ และช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรง
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากรังไข่และรกในระหว่างตั้งครรภ์ มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนาตัวขึ้น เพื่อให้ไข่ที่ถูกผสมจนเกิดการปฏิสนธิฝังตัวและเติบโตเป็นทารกได้
การวัดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
สำหรับค่าระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน จะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มบุคคล โดยมีหน่วยเป็น pg/ml
- ผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 26 – 149 pg/ml
- ผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 0 – 34 pg/ml
- ผู้หญิงในช่วงตั้งครรภ์ ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 2 – 30 pg/ml
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 3 – 10 pg/ml
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล เกิดจากสาเหตุใด
ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุลอาจเกิดจากหลายๆสาเหตุ เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น ความเครียดเรื้อรัง อาหารการกิน สารเคมีที่ได้รับ การทานยาคุมกำเนิด หรือยาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ ทำให้เกิดความผิดปกติ ดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- มีอาการก่อนมีประจำเดือนที่ผิดปกติ เช่น ตัวบวม หิวของหวาน กินเยอะ น้ำหนักขึ้นไว ไขมันเพิ่มง่าย ปวดหัวไมเกรน ตึงคัดเต้านม จะเรียกว่า อาการ PMS (Premenstrual Syndrome)
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนหลับยากขึ้น
- อาจทำให้เกิดเนื้องอก ถุงน้ำที่เต้านม มดลูก หรือ รังไข่
อาการที่ส่งสัญญาณเตือนฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ จะทำให้มีเซโรโทนินต่ำ อาจตามมาด้วยปัญหาในการนอนหลับ
- ไม่มีสมาธิในการทำงาน เนื่องจากการนอนหลับไม่เพียงพอจึงส่งผลให้ขาดสมาธิ หลงลืม ไม่สามารถโฟกัสอยู่กับเรื่องที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อารมณ์แปรปรวน เป็นหนึ่งในอาการของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อาการนี้อาจจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อรวมกับการนอนหลับไม่เพียงพอ
- อาการซึมเศร้า ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความเชื่อมโยงกับเซโรโทนิน ที่ช่วยลดภาวะซึมเศร้า เมื่อมีเอสโตรเจนต่ำ นั่นคือระดับเซโรโทนินก็จะต่ำไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
- กระดูกเปราะ เอสโตรเจนช่วยเสริมความหนาแน่นของกระดูก เมื่อระดับเอสโตรเจนที่ต่ำ ความหนาแน่นของกระดูกก็จะลดลง
- ขณะมีเพศสัมพันธ์จะรู้สึกเจ็บ ช่วงที่เอสโตรเจนลดต่ำลง ช่องคลอดจะแห้งมากขึ้น ผนังช่องคลอดบางลง จึงทำให้รู้สึกเจ็บในขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
- ช่องคลอดฝ่อตัว เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ จะทำให้ช่องคลอดแคบลง และสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้หลั่งสารหล่อลื่นได้ช้าลง
สำหรับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำและเตรียมตั้งครรภ์ แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้ว การทำ ICSI เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก
การใช้ฮอร์โมนเสริมทดแทน
การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน จำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรซื้อมารับประทานเองต้องได้มาจากการที่แพทย์จ่ายให้เท่านั้น วิธีการใช้ฮอร์โมนทดแทนมี 2 วิธี ดังนี้
– รักษาภาวะฮอร์โมนเพศหญิงต่ำ รับประทาน 0.3-0.625 มิลลิกรัม/วัน ในทุกรอบเดือน อาจปรับปริมาณยาได้ในช่วง 6-12 เดือน ใช้ร่วมกับฮอร์โมนโพรเกสตินเพื่อคงระดับความหนาแน่นของมวลกระดูกเมื่อโครงสร้างของกระดูกสมบูรณ์
– รักษาภาวะช่องคลอดฝ่อ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ช่องคลอดหรือปากช่องคลอดแห้ง แสบ มีอาการคัน รับประทานยา 0.3 มิลลิกรัม/วัน
– ป้องกันโรคกระดูกพรุนให้ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน เริ่มแรกให้รับประทานยาในปริมาณ 0.3 มิลลิกรัม/วัน ทุกวันหรือทุกรอบเดือน ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ส่วนการปรับปริมาณยานั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของมวลกระดูกและการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย
– รักษาภาวะรังไข่หยุดทำงาน รับประทานยา 1.25 มิลลิกรัม/วัน ในทุกรอบเดือน ปรับปริมาณยาตามการตอบสนองของผู้ป่วย และคงการใช้ยาในปริมาณต่ำสุดที่เห็นผลการรักษา
– รักษาภาวะมีเลือดออกในมดลูกผิดปกติ จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อในปริมาณ 25 มิลลิกรัม สามารถให้ซ้ำได้ใน 6-12 ชั่วโมง หากจำเป็น หลังการรักษาควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนต่ำร่วมด้วย
ข้อสรุป
ฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ หน้าที่ในการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายมีรายละเอียด ดังนั้นการดูแลสุขภาพกาย ก็จะช่วยให้สร้างฮอร์โมนและทำงานได้อย่างสมดุล โอกาสในการตั้งครรภ์ก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้หากคุณผู้หญิงท่านใดมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเรื่องการมีบุตร สามารถแอดไลน์ @beyondivf สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมในการมีบุตร