Skip to content

ทำความรู้จัก “ฮอร์โมนเอสโตรเจน” ฮอร์โมนสำคัญสำหรับผู้หญิงและคุณแม่


30 มีนาคม 2025
บทความ


ตอบคำถาม: ฮอร์โมนเอสโตรเจน คืออะไร?

  • เอสโตรเจน (Estrogen) คือฮอร์โมนเพศหญิงชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการแสดงลักษณะความเป็นหญิงของร่างกาย เช่น ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล
  • เอสโตรเจน มีผลอย่างมากต่อระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ไม่ว่าจะการควบคุมการตกไข่ การมีประจำเดือน และการปรับสภาพร่างกายให้เหมาะสมแก่การตั้งครรภ์
  • เมื่ออายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือ ‘วัยทอง’ ซึ่งมีผลกระทบต่อร่างกายหลายส่วน อาทิ กระดูกพรุน ผิวพรรณดูโทรม อารมณ์แปรปรวน
  • หากร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไป ก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายเช่นกัน ไม่ว่าจะมีไขมันสะสมง่าย อารมณ์แปรปรวน นอกจากนี้ยังทำให้เซลล์ไข่ไม่โต ใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ด้วย
  1. ทำให้ผู้หญิงมีผิวพรรณเนียนนุ่ม สะโพกผาย เต้านมขยายขนาด เสียงแหลม
  2. กระตุ้นการทำงานของมดลูก รังไข่ เป็นฮอร์โมนที่ทำให้ไข่ตกและมีประจำเดือน
  3. ช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนานุ่มพร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน เพื่อจะเติบโตเป็นทารกในครรภ์ต่อไป
  4. ควบคุมการทำงานของมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ขยายขนาดและมีเลือดมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ
  5. ทำให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อต่าง ๆ ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะข้อต่อในอุ้งเชิงกราน เพื่อการขยายตัวระหว่างคลอด
  6. ทำให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารช้าลง ส่งผลให้ท้องอืดในง่ายขณะตั้งครรภ์
  7. ยับยั้งการสลายตัวของกระดูก จึงช่วยลดภาวะกระดูกพรุน

ฮอร์โมนเอสโตรเจน กับ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน

ฮอร์โมนเอสโตรเจน

เป็นฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งทำหน้าที่พัฒนาอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง โดยส่วนใหญ่ผลิตจากรังไข่ แต่เมื่อตั้งครรภ์ฮอร์โมนนี้จะถูกผลิตออกมาจากรกอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ และช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรง

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน


ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากรังไข่และรกในระหว่างตั้งครรภ์ มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนาตัวขึ้น เพื่อให้ไข่ที่ถูกผสมจนเกิดการปฏิสนธิฝังตัวและเติบโตเป็นทารกได้

การวัดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน

สำหรับค่าระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน จะแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มบุคคล โดยมีหน่วยเป็น pg/ml

  • ผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 26 – 149 pg/ml
  • ผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 0 – 34 pg/ml
  • ผู้หญิงในช่วงตั้งครรภ์ ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 2 – 30 pg/ml
  • เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ค่าฮอร์โมนเอสโตรเจนจะอยู่ที่ 3 – 10 pg/ml

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล เกิดจากสาเหตุใด

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุลอาจเกิดจากหลายๆสาเหตุ เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น ความเครียดเรื้อรัง อาหารการกิน สารเคมีที่ได้รับ การทานยาคุมกำเนิด หรือยาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ ทำให้เกิดความผิดปกติ ดังนี้

  • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
  • มีอาการก่อนมีประจำเดือนที่ผิดปกติ เช่น ตัวบวม หิวของหวาน กินเยอะ น้ำหนักขึ้นไว ไขมันเพิ่มง่าย ปวดหัวไมเกรน ตึงคัดเต้านม จะเรียกว่า อาการ PMS (Premenstrual Syndrome)
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิดบ่อย นอนหลับยากขึ้น
  • อาจทำให้เกิดเนื้องอก ถุงน้ำที่เต้านม มดลูก หรือ รังไข่

อาการที่ส่งสัญญาณเตือนฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำกว่าปกติ

  • นอนไม่หลับ เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ จะทำให้มีเซโรโทนินต่ำ อาจตามมาด้วยปัญหาในการนอนหลับ
  • ไม่มีสมาธิในการทำงาน เนื่องจากการนอนหลับไม่เพียงพอจึงส่งผลให้ขาดสมาธิ หลงลืม ไม่สามารถโฟกัสอยู่กับเรื่องที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อารมณ์แปรปรวน เป็นหนึ่งในอาการของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล อาการนี้อาจจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เมื่อรวมกับการนอนหลับไม่เพียงพอ
  • อาการซึมเศร้า ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีความเชื่อมโยงกับเซโรโทนิน ที่ช่วยลดภาวะซึมเศร้า เมื่อมีเอสโตรเจนต่ำ นั่นคือระดับเซโรโทนินก็จะต่ำไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้
  • กระดูกเปราะ เอสโตรเจนช่วยเสริมความหนาแน่นของกระดูก เมื่อระดับเอสโตรเจนที่ต่ำ ความหนาแน่นของกระดูกก็จะลดลง
  • ขณะมีเพศสัมพันธ์จะรู้สึกเจ็บ ช่วงที่เอสโตรเจนลดต่ำลง ช่องคลอดจะแห้งมากขึ้น ผนังช่องคลอดบางลง จึงทำให้รู้สึกเจ็บในขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
  • ช่องคลอดฝ่อตัว เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ จะทำให้ช่องคลอดแคบลง และสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้หลั่งสารหล่อลื่นได้ช้าลง

สำหรับผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำและเตรียมตั้งครรภ์ แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการทำเด็กหลอดแก้ว การทำ ICSI เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยาก


วิธีบำรุงเสริมระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน

การทานอาหารที่มีส่วนช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน

  • ถั่วเหลือง หรืออาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบ เช่น เต้าหู้ หรือน้ำเต้าหู้ เพราะเป็นอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูงสะสมอยู่ มีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจนทำหน้าที่คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน การรับประทานอาหารที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบ นอกจากสารอาหารที่มีอยู่ในถั่วเหลืองจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงที่ขาดไป ยังช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และยังมีสารอาหารที่จำเป็นอีกมากมายด้วย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม วิตามินบีคอมเพล็กซ์ สังกะสี
  • ผลไม้สด เป็นอาหารที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ ช่วยเสริมสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งผลไม้สดที่มีสารไบโอฟลาโวนอยด์อยู่มาก เช่น มะขาม ส้มโอ ส้มเขียวหวาน มะนาว เป็นต้น หรืออาจเลือกทานเป็นผลไม้จำพวกสตรอเบอรี่ อะโวคาโด กล้วย ฝรั่ง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้จะคอยช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย ลดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน และยังสามารถควบคุมระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกด้วย นอกจากจะมีสารไบโอฟลาโวนอยด์แล้วยังมีวิตามินอีที่ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ไม่แก่ก่อนวัยอันควรอีกด้วย
  • เมล็ดแฟลกซ์ การรับประทานเมล็ดแฟลกซ์มีส่วนช่วยในการต่อต้านผลกระทบของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีมากเกินไป ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้อย่างเหมาะสม พร้อมกับลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งท่อปัสสาวะ และมะเร็งรังไข่อีกด้วย
  • วิตามินบี เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างและกระตุ้นฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย หากร่างกายมีวิตามินบีในระดับที่ต่ำอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงด้วย
  • วิตามินดี วิตามินดีและเอสโตรเจนทำงานร่วมกันเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ความเชื่อมโยงระหว่างฮอร์โมนสองตัวนี้ เกิดจากบทบาทของวิตามินดีในการสังเคราะห์เอสโตรเจน ซึ่งบ่งบอกได้ถึงประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเสริมวิตามินดีในระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ต่ำ
  • น้ำมะพร้าว ในน้ำมะพร้าวจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ช่วยกระชับผิวพรรณให้เต่งตึง ชะลอการเกิดริ้วรอยได้ นอกจากนี้ก็มีส่วนช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ด้วยกระบวนการที่คล้ายกับการดีท็อกซ์อีกด้วย


การใช้ฮอร์โมนเสริมทดแทน

การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน จำเป็นต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรซื้อมารับประทานเองต้องได้มาจากการที่แพทย์จ่ายให้เท่านั้น วิธีการใช้ฮอร์โมนทดแทนมี 2 วิธี ดังนี้

  • ยาชนิดทาน

รักษาภาวะฮอร์โมนเพศหญิงต่ำ รับประทาน 0.3-0.625 มิลลิกรัม/วัน ในทุกรอบเดือน อาจปรับปริมาณยาได้ในช่วง 6-12 เดือน ใช้ร่วมกับฮอร์โมนโพรเกสตินเพื่อคงระดับความหนาแน่นของมวลกระดูกเมื่อโครงสร้างของกระดูกสมบูรณ์

รักษาภาวะช่องคลอดฝ่อ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ช่องคลอดหรือปากช่องคลอดแห้ง แสบ มีอาการคัน รับประทานยา 0.3 มิลลิกรัม/วัน

ป้องกันโรคกระดูกพรุนให้ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน เริ่มแรกให้รับประทานยาในปริมาณ 0.3 มิลลิกรัม/วัน ทุกวันหรือทุกรอบเดือน ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ส่วนการปรับปริมาณยานั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของมวลกระดูกและการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย

รักษาภาวะรังไข่หยุดทำงาน รับประทานยา 1.25 มิลลิกรัม/วัน ในทุกรอบเดือน ปรับปริมาณยาตามการตอบสนองของผู้ป่วย และคงการใช้ยาในปริมาณต่ำสุดที่เห็นผลการรักษา

  • ยาชนิดฉีด

– รักษาภาวะมีเลือดออกในมดลูกผิดปกติ จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อในปริมาณ 25 มิลลิกรัม สามารถให้ซ้ำได้ใน 6-12 ชั่วโมง หากจำเป็น หลังการรักษาควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนต่ำร่วมด้วย


ข้อสรุป

ฮอร์โมนเอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ หน้าที่ในการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายมีรายละเอียด ดังนั้นการดูแลสุขภาพกาย ก็จะช่วยให้สร้างฮอร์โมนและทำงานได้อย่างสมดุล โอกาสในการตั้งครรภ์ก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้หากคุณผู้หญิงท่านใดมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเรื่องการมีบุตร สามารถแอดไลน์ @beyondivf สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมในการมีบุตร

เรื่องราวความสำเร็จอื่น ๆ

บทความ

ตรวจฮอร์โมน AMH เพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก

Read the story
บทความ

แท้งมา 3 ครั้งยังมีโอกาสท้องได้อีกไหม ? ตอบถามโดย คุณหมอกิตติ ฉัตรตระกูลชัย

Read the story
บทความ

ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด มีลูกได้ไหม? อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา

Read the story
บทความ

กรดโฟลิก (Folic Acid) คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไรกับคุณแม่ตั้งครรภ์?

Read the story

นาฬิกาสุขภาพ

เครื่องมือนี้ระบุ :

  • โอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติในแต่ละเดือน หากไม่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก
  • อัตราความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ในช่วงอายุเดียวกัน
  • ควรปรึกษาแพทย์เมื่อพยายามตั้งครรภ์ไม่สำเร็จเป็นระยะเวลากี่เดือน

หากคุณกังวลไม่ว่าขั้นตอนใดก็ตาม เราขอแนะนำให้ลงนัดแพทย์หรือขอคำปรึกษาจากพยาบาลฟรี ยิ่งคุณวางแผนได้เร็วเท่าไรโอกาสของคุณก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อไหร่ที่ควรขอคำแนะนำ

  • หากคุณมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS), เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เราขอแนะนำให้คุณติดต่อเราทันที เพื่อที่เราจะได้อธิบายทางเลือกทั้งหมดและช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จให้มากที่สุด
  • หากคุณเป็นผู้หญิงที่มีสถานะโสดและกำลังพิจารณาว่าอยากมีลูกในอนาคต ควรเข้ามาปรึกษาเราแต่เนิ่น ๆ และพิจารณาการฝากไข่ (Egg Freezing) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่คุณยังมีไข่จำนวนมาก และสุขภาพของไข่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
กำหนดอายุของคุณและระยะเวลาที่คุณพยายามตั้งครรภ์ (เป็นเดือน)
26
2
โอกาสในการมีบุตรต่อเดือนสำหรับคู่รักที่มีภาวะเจริญพันธุ์ปกติ
โอกาสในการมีบุตรต่อรอบการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หากมีภาวะมีบุตรยาก

เครื่องคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI)

การมีน้ำหนักเกินหรือต่ำกว่าเกณฑ์อาจจะลดความสามารถในการมีบุตรได้ ดังนั้น การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นตัวบ่งชี้น้ำหนักตัวของคุณและสามารถคำนวณได้โดยการหารน้ำหนักด้วยส่วนสูง คุณควรตั้งเป้าหมายไว้ที่ค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 20 ถึง 25 เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

ค่าดัชนีมวลกายของผู้หญิงต่ำกว่า 19

แม้ในยุคปัจจุบัน ธรรมชาติของร่างกายก็ยังรู้ดีที่สุด หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้หญิงต่ำกว่า 19 ร่างกายจะรับรู้ถึงภาวะขาดแคลนอาหารและจะหยุดการตกไข่เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้ทารกขาดสารอาหาร การออกกำลังกายมากเกินไปสามารถลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหักโหมมากเกินไปอาจทำให้ประจำเดือนหยุดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้นในผู้หญิงที่มี BMI ต่ำอีกด้วย

น้ำหนักน้อยเกินไป

หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้หญิงต่ำกว่า 19 ร่างกายจะรับรู้ถึงภาวะขาดแคลนอาหารและจะหยุดการตกไข่เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้ทารกขาดสารอาหาร การออกกำลังกายมากเกินไปสามารถลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหักโหมมากเกินไปอาจทำให้ประจำเดือนหยุดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้นในผู้หญิงที่มี BMI ต่ำอีกด้วย

ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30

สิ่งนี้สามารถลดความสามารถในการมีบุตรได้ถึง 50% การตั้งครรภ์ในผู้หญิงที่มี BMI สูงกว่า 30 มักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง ทารกตัวใหญ่ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการผ่าคลอด

เพิ่มส่วนสูงและน้ำหนักของคุณเพื่อคำนวณดัชนีมวลกายของคุณ