Skip to content

กรดโฟลิก (Folic Acid) คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไรกับคุณแม่ตั้งครรภ์?


01 เมษายน 2025
บทความ

วิตามินเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่เริ่มมองหาเมื่อทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ซึ่งวิตามินจะช่วยบำรุงลูกให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องรับประทาน โฟลิก (Folic acid) เป็นวิตามินยอดนิยมที่คุณหมอมักจะแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รับประทาน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่ากรดโฟลิกคืออะไร ช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง ต้องเสริมกรดโฟลิกอย่างไร แล้วสามารถเริ่มทานได้ตั้งแต่ตอนไหน มีวิธีรับประทานอย่างไร สามารถซื้อทานเองได้ไหม บทความนี้จะช่วยตอบทุกข้อสงสัยสำหรับคุณแม่มือใหม่

กรดโฟลิก (Folic Acid)

กรดโฟลิก (Folic Acid) คือ วิตามินบี 9 เป็นวิตามินสำคัญสำหรับผู้หญิงที่เตรียมตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แล้ว เพราะจะช่วยสร้างและแบ่งเซลล์ในตัวอ่อนให้สมบูรณ์ ภายใน 28 วันแรก หลังเกิดการปฏิสนธิ

อีกทั้งยังช่วยป้องกันและลดความผิดปกติของระบบประสาท ทั้งภาวะไม่มีเนื้อสมอง ภาวะไขสันหลังไม่ปิดจากการขาดโฟลิก จึงแนะนำสำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะคนที่กำลังจะแต่งงาน ให้กินวิตามินโฟลิก ซึ่งควรกิน 1 เม็ดทุกวัน ในช่วง 3 เดือนก่อนต่อเนื่องจนถึงตั้งท้อง 3 เดือนแรก

กรดโฟลิกมีประโยชน์อย่างไร

เมื่อเด็กเกิดมามีภาวะไม่มีสมองหรือกะโหลกศีรษะจะทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อย ส่วนเด็กที่เป็นโรคที่มีความบกพร่องของไขสันหลังจะพิการไปตลอดชีวิต การรับประทานโฟลิกจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้กับทารกในครรภ์ และยังลดความเสี่ยงของภาวะหลอดประสาทไม่ปิด

อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญของกรดโฟลิก คือ กรดโฟลิกจะช่วยลดความเสี่ยงโรคปากแหว่งเพดานโหว่ การแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด และยังช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ รวมถึงโรคหลอดเลือดสมองในของคุณแม่อีกด้วย


กรดโฟลิกกับการตั้งครรภ์

กรดโฟลิกมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างหลอดประสาทซึ่งจะพัฒนาไปเป็นระบบประสาท (สมองและไขสันหลัง) ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 28 วันแรกหลังจากมีการปฏิสนธิ และยังช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนที่ใช้ในการสร้างโลหิต

ดังนั้นหากคุณแม่ขาดโฟลิกจะทำให้เกิดความพิการของทารกจากการสร้างหลอดประสาทไม่สมบูรณ์ รวมทั้งทำให้คุณแม่เกิดภาวะซีดหรือโลหิตจางได้ด้วย

ควรรับประทานกรดโฟลิกตอนไหน

คำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากมีลูก สามารถรับประทานกรดโฟลิกหรือโฟเลตได้ตั้งแต่เริ่มวางแผนมีบุตร หรือก่อนตั้งครรภ์ 1-3 เดือน และทานต่อเนื่องจนอายุครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ เพราะในช่วงอายุครรภ์ที่ 3-4 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ จะเป็นช่วงที่พัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารกจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


คำแนะนำสำหรับการรับประทานกรดโฟลิก

คำแนะนำสำหรับการรับประทานกรดโฟลิกที่เหมาะกับหญิงตั้งครรภ์ คือ

  • ช่วงก่อนตั้งครรภ์ควรได้รับกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวัน
  • ช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ควรได้รับอย่างน้อย 400 ไมโครกรัมต่อวัน
  • ช่วงเดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 9 ของการตั้งครรภ์ (ไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์) ควรได้รับ 600 ไมโครกรัมต่อวัน
  • ช่วงให้นมบุตรควรได้รับ 500 ไมโครกรัมต่อวัน


ผลข้างเคียงหากรับประทานกรดโฟลิกมากเกินพอดี

การรับประทานกรดโฟลิกมากเกินไปจะเกิดผลเสีย และทำให้ทารกเสี่ยงเป็นโรคออทิสติก ถ้าหากทารกเป็นเพศหญิงอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนเมื่อโตขึ้น


อาหารที่มีโฟลิกสูง มีอะไรบ้าง

  • บรอกโคลี มีสารอาหาร วิตามิน และโฟลิกสูง ซึ่งบร็อคโคลี่ 1 ถ้วย ทำให้เราได้รับกรดโฟลิกมากถึง 26% ของจำนวนที่ร่างกายต้องการต่อวัน
  • ผักโขม ผักโขมเป็นผักใบเขียวที่มีกรดโฟลิกสูงมาก เมื่อเทียบกับบรอกโคลีแล้วผักโขมมีโฟลิกสูงมากกว่าถึง 3 เท่า เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์
  • ไข่ เป็นอาหารที่มีประโยชน์และยังมีกรดโฟลิกอีกด้วย ซึ่งในไข่ไก่ 1 ฟอง จะมีโฟลิกประมาณ 44 ไมโครกรัม
  • ข้าวโพด นอกจากจะมีวิตามินแล้วในข้าวโพดยังมีกรดโฟลิกอีกด้วย
  • อาโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอาหารและไขมันดีสูง และในอาโวคาโดยังมีกรดโฟลิกสูงอีกด้วย
  • แคนตาลูป เป็นผลไม้ที่มีกรดโฟลิกสูงและเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างมาก
  • เมล็ดทานตะวัน นอกจากจะเป็นของว่างทานเล่นได้แล้ว ในเมล็ดทานตะวันยังมีกรดโฟลิกด้วย
  • ถั่วแดง นอกจากโปรตีนสูงแล้ว ถั่วแดงยังมีโฟลิกสูงที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งไม่ใช่แค่ถั่วแดงที่มีกรดโฟลิก แต่ในถั่วชนิดอื่นก็มีกรดโฟลิก เช่น ถั่วลิสง ถั่วดำ ถั่วเฮเซลนัท เป็นต้น

ข้อสรุป

กรดโฟลิก (Folic Acid) คือ วิตามินที่ช่วยเสริมสร้างหลอดประสาทให้กับทารก ช่วยลดความพิการในทารกตั้งแต่กำเนิด และมีประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างมากไม่ว่าจะเป็น ช่วยลดความเสี่ยงการแท้งบุตร ช่วยลดโอกาสการคลอดก่อนกำหนด รวมถึงโรคเลือดในสมองของคุณแม่ตั้งครรภ์

การรับประทานกรดโฟลิกช่วยสร้างประโยชน์ให้กับคุณแม่และทารกได้มากมาย แต่ไม่แนะนำให้ซื้อมาทานเอง ควรปรึกษาแพทย์และให้แพทย์เป็นผู้จ่ายยาให้ หรือคุณแม่ท่านไหนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @beyondivf

เรื่องราวความสำเร็จอื่น ๆ

บทความ

ตรวจฮอร์โมน AMH เพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก

Read the story
บทความ

แท้งมา 3 ครั้งยังมีโอกาสท้องได้อีกไหม ? ตอบถามโดย คุณหมอกิตติ ฉัตรตระกูลชัย

Read the story
บทความ

ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด มีลูกได้ไหม? อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา

Read the story
บทความ

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ควรซาวด์ตอนกี่เดือน บอกอะไรได้บ้าง?

Read the story

นาฬิกาสุขภาพ

เครื่องมือนี้ระบุ :

  • โอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติในแต่ละเดือน หากไม่มีปัญหาภาวะมีบุตรยาก
  • อัตราความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ในช่วงอายุเดียวกัน
  • ควรปรึกษาแพทย์เมื่อพยายามตั้งครรภ์ไม่สำเร็จเป็นระยะเวลากี่เดือน

หากคุณกังวลไม่ว่าขั้นตอนใดก็ตาม เราขอแนะนำให้ลงนัดแพทย์หรือขอคำปรึกษาจากพยาบาลฟรี ยิ่งคุณวางแผนได้เร็วเท่าไรโอกาสของคุณก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อไหร่ที่ควรขอคำแนะนำ

  • หากคุณมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS), เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง เราขอแนะนำให้คุณติดต่อเราทันที เพื่อที่เราจะได้อธิบายทางเลือกทั้งหมดและช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จให้มากที่สุด
  • หากคุณเป็นผู้หญิงที่มีสถานะโสดและกำลังพิจารณาว่าอยากมีลูกในอนาคต ควรเข้ามาปรึกษาเราแต่เนิ่น ๆ และพิจารณาการฝากไข่ (Egg Freezing) ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่คุณยังมีไข่จำนวนมาก และสุขภาพของไข่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
กำหนดอายุของคุณและระยะเวลาที่คุณพยายามตั้งครรภ์ (เป็นเดือน)
26
2
โอกาสในการมีบุตรต่อเดือนสำหรับคู่รักที่มีภาวะเจริญพันธุ์ปกติ
โอกาสในการมีบุตรต่อรอบการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หากมีภาวะมีบุตรยาก

เครื่องคำนวณดัชนีมวลกาย (BMI)

การมีน้ำหนักเกินหรือต่ำกว่าเกณฑ์อาจจะลดความสามารถในการมีบุตรได้ ดังนั้น การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นตัวบ่งชี้น้ำหนักตัวของคุณและสามารถคำนวณได้โดยการหารน้ำหนักด้วยส่วนสูง คุณควรตั้งเป้าหมายไว้ที่ค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 20 ถึง 25 เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

ค่าดัชนีมวลกายของผู้หญิงต่ำกว่า 19

แม้ในยุคปัจจุบัน ธรรมชาติของร่างกายก็ยังรู้ดีที่สุด หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้หญิงต่ำกว่า 19 ร่างกายจะรับรู้ถึงภาวะขาดแคลนอาหารและจะหยุดการตกไข่เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้ทารกขาดสารอาหาร การออกกำลังกายมากเกินไปสามารถลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหักโหมมากเกินไปอาจทำให้ประจำเดือนหยุดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้นในผู้หญิงที่มี BMI ต่ำอีกด้วย

น้ำหนักน้อยเกินไป

หากดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้หญิงต่ำกว่า 19 ร่างกายจะรับรู้ถึงภาวะขาดแคลนอาหารและจะหยุดการตกไข่เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ที่อาจทำให้ทารกขาดสารอาหาร การออกกำลังกายมากเกินไปสามารถลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหักโหมมากเกินไปอาจทำให้ประจำเดือนหยุดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้นในผู้หญิงที่มี BMI ต่ำอีกด้วย

ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 30

สิ่งนี้สามารถลดความสามารถในการมีบุตรได้ถึง 50% การตั้งครรภ์ในผู้หญิงที่มี BMI สูงกว่า 30 มักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง ทารกตัวใหญ่ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการผ่าคลอด

เพิ่มส่วนสูงและน้ำหนักของคุณเพื่อคำนวณดัชนีมวลกายของคุณ