อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflamatory Disease) เชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคนไม่รู้จักและไม่ทราบว่าอุ้งเชิงกรานอักเสบคืออะไร เพราะอาการที่แสดงออกมาส่วนมากจะคล้ายๆกับคนเป็นประจำเดือนปกติ เลยอาจจะทำให้แยกไม่ออกว่าคืออาการอะไรกันแน่ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับอุ้งเชิงกรานอักเสบกัน ว่าคืออะไร อันตรายมากไหม รักษาอย่างไร และมีวิธีป้องกันหรือไม่
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease) คืออะไร?
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ อาการเป็นอย่างไร?
- อุ้งเชิงกรานอักเสบเกิดจากสาเหตุอะไร
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ อันตรายไหม
- การวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- วิธีรักษาอาการอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบกับปัญหาผู้มีบุตรยาก
- แนวทางการป้องกันภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- คำถามที่พบบ่อย
- ข้อสรุป
อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease) คืออะไร?
อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflamatory Disease) คือ การติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง บริเวณมดลูก ปีกมดลูก และท่อนำไข่ ซึ่งการติดเชื้อนั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ หรือหนองในเทียม ซึ่งมักเกิดบริเวณช่องคลอดและปากมดลูก หากไม่ทำการรักษาก็อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปบริเวณอื่นในระบบสืบพันธุ์ได้ โดยโรคนี้มักเกิดในหญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุประมาณ 25 ปี หรือน้อยกว่านั้น และยังส่งผลให้เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย
อุ้งเชิงกรานอักเสบ อาการเป็นอย่างไร?
- ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือท้องน้อย
- รู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ
- รู้สึกเจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกทางช่องคลอด โดยเฉพาะหลังหรือระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น อาจมีสีเขียวหรือสีเหลือง
- ประจำเดือนมามาก
ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการรุนแรงขึ้นหากมีอาการดังนี้ควรรีบไปพบแพทย์
- ไม่สบายตัว หนาวสั่น มีไข้
- ปวดท้องรุนแรง
อุ้งเชิงกรานอักเสบเกิดจากสาเหตุอะไร
สาเหตุจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ข้อมูลทางการแพทย์ พบว่าการเกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบจะพบประมาณ 1 ใน 4 รายมีสาเหตุมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นโรคหนองในแท้ หรือโรคหนองในเทียม โดยผู้ป่วยมักเริ่มติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณปากมดลูกก่อน ซึ่งสามารถรักษาหายได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ หากได้รับการรักษาไม่เหมาะสมหรือรักษาล่าช้า ก็อาจทำให้แบคทีเรียนั้นแพร่กระจายเข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์ได้
สาเหตุอื่น ๆ
สาเหตุการเกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบในหลายกรณีนั้นยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด ซึ่งโดยปกติในช่องคลอดก็มีแบคทีเรียที่ไม่เป็นอันตรายอาศัยอยู่ แต่แบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้หากเข้าไปในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกรณีที่เคยเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบมาก่อน หรือเคยทำหัตถการเกี่ยวกับปากมดลูก เช่น การตรวจภายในมดลูก การทำแท้ง หรือการใส่อุปกรณ์คุมกำเนิดเข้าไป เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ
- เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือคู่นอนของเราเปลี่ยนคู่นอนหลายคน
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ทำการสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างเชื้อแบคทีเรียชนิดที่เป็นประโยชน์และชนิดเป็นอันตรายในบริเวณช่องคลอด
- มีประวัติการเป็นภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
อุ้งเชิงกรานอักเสบ อันตรายไหม
โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบถ้าพบและรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นก็สามารถหายได้โดยที่ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็อาจส่งผลให้มีโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นได้ ดังนั้นคุณผู้หญิงควรตรวจเช็คภายในเป็นประจำทุกปีเพื่อป้องกันการเกิดโรคร้ายได้
การวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
1. การซักประวัติผู้ป่วยอุ้งเชิงกรานอักเสบ
ซักประวัติสุขภาพ ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ยาคุมกำเนิด ประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการ ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ ความรุนแรง
2. การตรวจร่างกายและตรวจภายในผู้ป่วยอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ประเมินภาวะไข้และอาการผิดปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
- ตรวจหาสารคัดหลั่งผิดปกติจากช่องคลอดและปากมดลูก
- ตรวจคลำอาการกดเจ็บ หรือก้อนในอุ้งเชิงกรานว่าบวมอักเสบหรือไม่
3. การตรวจชิ้นเนื้อในโพรงมดลูก
การสุ่มตัดชิ้นเนื้อจากโพรงมดลูกผ่านทางปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจหาการติดเชื้อและการอักเสบของอุ้งเชิงกราน
4. การตรวจอัลตราซาวน์
ตรวจอัลตราซาวน์เพื่อประเมินความผิดปกติของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
5. การผ่าตัดส่องกล้องโพรงมดลูก
การผ่าตัด ในบางกรณีอาจใช้การผ่าตัดส่องกล้องทางหน้าท้อง หรือ Laparoscopy โดยสอดกล้องขนาดเล็กเข้าไปดูอวัยวะภายใน และถ้ามีความจำเป็นอาจต้องเก็บตัวอย่างเนื้อเยื้อเพิ่มด้วย การผ่าตัดในลักษณะนี้อาจทำกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ที่อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น เช่น ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- อาจทำให้มีฝีหนองคั่งเป็นก้อนบริเวณปีกมดลูกและอวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกราน ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือรักษาอย่างไม่เพียงพอ ก้อนหนองอาจทำให้มีอาการรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าก้อนหนองแตก
- เกิดมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง
- มีบุตรยากหรือเป็นหมัน
- ตั้งครรภ์นอกมดลูก
วิธีรักษาอาการอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ถ้าท่านมีอาการตกขาวมีกลิ่น มีเลือดออกช่วงที่ไม่มีประจำเดือน ปัสสาวะเจ็บแสบ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และเข้ารับการรักษาโดยเร็ว เนื่องจากการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างทันเวลาจะป้องกันภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบได้
- แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะบางชนิดให้โดยทันที และอาจมีการปรับยาให้เหมาะสมเมื่อทราบผลการตรวจแล้ว ควรต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และได้รับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ หากอาการไม่ตอบสนองกับยาชนิดรับประทาน อาการรุนแรง มีฝีหนอง หรือตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยอาจจะต้องได้รับการผ่าตัด หากก้อนฝีหนองใหญ่ ไม่ตอบสนองกับยาปฏิชีวนะ แตก หรือมีปัญหาในการวินิจฉัย
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบกับปัญหาผู้มีบุตรยาก
การมีแผลเป็นจากการอักเสบหรือเคยเป็นฝีในท่อนำไข่ อาจทำให้ไข่ไม่สามารถผ่านเข้าไปในมดลูกได้ ส่งผลให้เป็นอุปสรรคในการตั้งครรภ์ ประมาณ 1 ใน 10 ของผู้หญิงที่เป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบจะประสบภาวะมีบุตรยาก ซึ่งความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการรักษาล่าช้า
แนวทางการป้องกันภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- ป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ด้วยถุงยางอนามัย แผ่นยางอนามัย เป็นต้น และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกจากนี้ ควรถามประวัติสุขภาพทางเพศของคู่นอน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดต่อทางเพศ
- ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด เพราะการสวนล้างจะทำลายความสมดุลของแบคทีเรียภายในช่องคลอด ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- หากผู้ป่วยมีปัญหาอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรแนะนำให้คู่นอนเข้ารับการตรวจและรักษาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการกลับมาเกิดซ้ำของโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ
คำถามที่พบบ่อย
อุ้งเชิงกรานอักเสบ รักษาที่บ้านได้ไหม
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง และรักษาด้วยวิธีการการรับประทานยาปฏิชีวนะ แต่หากกรณีมีอาการรุนแรงเช่น มีไข่สูง คลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายไม่ตอบสนองต่อยาที่รับประทาน หรือ มีอาการรุนแรงขึ้นขณะมีการตั้งครรภ์ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินต่อไป
อุ้งเชิงกรานอักเสบ เป็นซ้ำได้ไหม?
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบสามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติอุ้งเชิงกรานอักเสบที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นมีโอกาสอาจเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้งมากกว่าผู้ใหญ่
เป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบ ก่อนไปพบแพทย์ ควรเตรียมตัวอย่างไร?
ก่อนเข้าปรึกษาแพทย์เมื่อคุณเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหลังจากทำนัดหมายเพื่อเจอแพทย์แล้วควรสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับข้อห้ามในการปฏิบัติก่อนเข้าพบแพทย์ บันทึกลักษณะอาการต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีความเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวกับภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเพื่อนำไปประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ จดชื่อยาและอาหารเสริมต่างๆที่รับประทานอยู่ขณะนั้นไป รวมไปถึงตัวยาที่มีอาการแพ้ (ในกรณีผู้ป่วยที่มีประวัติการแพ้ยา)
อุ้งเชิงกรานอักเสบ กินยาอะไร?
หากมีอาการปวดอุ้งเชิงกรานหรือปวดท้องน้อย ผู้ป่วยสามารถกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ร่วมกับยาปฏิชีวนะได้
อุ้งเชิงกรานอักเสบ กี่วันหาย?
อุ้งเชิงกรานอักเสบ สามารถรักษาหายได้ภายใน 1 – 2 สัปดาห์ แต่ถ้ารักษาผิดวิธี หรือรักษาช้าเกินไป สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งมาจากการที่เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายไปยังท่อนำไข่ ดังนั้นหากมีอาการที่ผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์โดยทันที
อุ้งเชิงกรานอักเสบ หายเองได้ไหม?
อุ้งเชิงกรานอักเสบสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงกว่าตามมา เช่น การเจ็บปวดจากภาวะอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง ฝีที่ท่อนำไข่หรือรังไข่ การตั้งครรภ์นอกมดลูก และภาวะมีบุตรยาก เป็นต้น
ข้อสรุป
อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflamatory Disease) คือ การติดเชื้อบริเวณ มดลูก ปีกมดลูก ท่อนำไข่ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการอุ้งเชิงกรานอักเสบสังเกตุได้เมื่อปวดท้องน้อย เจ็บเวลาปัสสาวะ เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวผิดปกติ ซึ่งวิธีการรักษาคือพบแพทย์ แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะให้ทานหากไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก แต่หากท่านไหนมีอาการรุนแรงอาจจะต้องเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัด
ทั้งนี้หากท่านไหนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line@ : @beyondivf