การอัลตราซาวด์ วิธีที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดเมื่อคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ เพราะการตรวจด้วยวิธีนี้มีความปลอดภัยสูง และสามารถทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงไม่ได้มีประโยชน์เพียงการดูเพศและดูการเจริญเติบโตของทารกเท่านั้น ยังสามารถใช้ตรวจวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ ได้อีกด้วย
แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วการอัลตราซาวด์นั้นคืออะไร มีรูปแบบเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากการดูเพศลูกและดูรูปร่างหน้าตาของลูกแล้ว การอัลตราซาวด์ยังมีความสำคัญต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างไร หากมีการแพลนการอัลตราซาวด์ควรจะมีการเตรียมตัวอย่างไร
- การอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound)
- ประเภทของการตรวจอัลตร้าซาวด์
- วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องอัลตราซาวด์
- ข้อดี – ข้อจำกัดของการตรวจอัลตร้าซาวด์ครรภ์
- ประโยชน์ของการตรวจอัลตร้าซาวด์ตอนท้อง
- ตรวจอัลตร้าซาวด์แต่ละช่วงอายุครรภ์ บอกอะไรได้บ้าง
- การเตรียมตัวสำหรับคุณแม่ ก่อนตรวจอัลตร้าซาวด์
- ขั้นตอนการตรวจอัลตร้าซาวด์
- วิธีอ่านค่าอัลตร้าซาวด์
- การตรวจอัลตร้าซาวด์ครรภ์ ไม่เป็นอันตรายต่อทารก
- คำถามที่พบบ่อย
- หากตั้งครรภ์แล้วไม่ตรวจอัลตร้าซาวด์ได้ไหม
- คุณแม่ควรเข้ารับการตรวจอัลตร้าซาวด์ตอนอายุครรภ์เท่าไหร่
- อัลตร้าซาวด์บ่อยอันตรายไหม
- ตรวจอัลตร้าซาวด์ บอกความผิดปกติหรือความพิการของทารกได้ไหม
- อัลตร้าซาวด์อายุครรภ์ 1 เดือน จำเป็นไหม
- ผลตรวจอัลตร้าซาวด์ผิดพลาดได้หรือไม่
- ตรวจอัลตร้าซาวด์แค่ช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ได้ไหม
- ข้อสรุป
การอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound)
การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ที่มากกว่า 20,000 Hz คลื่นเสียงอัตราซาวด์นี้ปัจจุบันได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นเครื่องมือแพทย์ ใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆ รวมทั้งการตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์
หลักการทำงานของอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound)
หลักการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือ Ultrasonography คือ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกไป จากหัวตรวจ (Transdneer) คลื่นเสียงจะกระทบกับเนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการผ่านและสะท้อนกลับไม่เท่ากัน
หัวตรวจจะทำหน้าที่รับสัญญาณคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับระดับต่างๆ ซึ่งบ่งถึงความหนาแน่น และระดับความลึกของเนื้อเยื่อนั้นนำสัญญาณที่ได้รับมาประมวลผลและสร้างเป็นภาพขึ้นมา เพื่อใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรค ตรวจทารกในครรภ์ หรือเป็นเครื่องมือช่วยให้ศัลยแพทย์เห็นภาพร่างกายขณะผ่าตัดได้
ประเภทของการตรวจอัลตร้าซาวด์
1. อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ
การทำอัลตราซาวด์ 2 มิติ เป็นภาพตัดขวางทีละภาพตามแนวของคลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งออกไปในแนวระนาบ คือ มิติที่ 1 ความกว้าง มิติที่ 2 ความยาว โดยภาพที่ได้จะเป็นภาพเงาขาวดำแสดงให้เห็นทารกในครรภ์ แต่ไม่สามารถมองเห็นหน้าทารกได้ชัดเจน คุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่เข้าใจภาพและมองภาพไม่ออกตามที่แพทย์บอก
2. อัลตร้าซาวด์ 3 มิติ
เครื่องอัลตราซาวด์ 3 มิติ จะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นจาก 2 มิติ คือ จะแสดงความกว้าง ความสูง และความลึก โดยที่หัวตรวจจะส่งคลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งผ่านมาในมุมที่แตกต่างกัน แล้วรับสัญญาณคลื่นเสียงสะท้อนกลับออกมา ทำการประมวลวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน ซึ่งภาพที่ได้ออกมาจะเป็นภาพพื้นผิวของทารก หรือเป็นภาพอวัยวะภายในทารก คุณพ่อคุณแม่จะเห็นทั้งรูปร่างและรูปทรงของทารกที่เหมือนจริงมากขึ้น รวมทั้งเห็นใบหน้าและรายละเอียดของทารกชัดเจนกว่าภาพถ่าย 2 มิติ ทำให้คาดเดาได้ว่าเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วจะมีหน้าตาอย่างไร และสามารถเข้าใจรูปภาพได้ง่ายขึ้นมากว่ารูปถ่าย 2 มิติ
3. อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ
เครื่องอัลตราซาวด์ 4 มิติ จะคล้ายกับอัลตราซาวด์ 3 มิติ แต่มีการประมวลผลที่ดีขึ้น และเพิ่มมิติที่ 4 ขึ้นมา คือ “เวลา” นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นทารกในแบบภาพ 3 มิติแล้ว เครื่องตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติจะนำภาพ 3 มิติมาแสดงผลเรียงต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในขณะนั้นโดยใช้คลื่นสียง ทำให้รู้สึกเหมือนได้เห็นทารกในครรภ์แบบ Real Time
ซึ่งการอัลตราซาวด์แบบนี้จะช่วยให้เราสามารถศึกษาพฤติกรรมต่างๆ ของทารกในครรภ์ไม่ว่าจะเป็นการหาว ดูดนิ้ว อ้าปาก ขยับนิ้ว หรือการยิ้ม ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ยังได้ข้อมูลและรายละเอียดที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความผิดปกติที่พื้นผิว เช่น ปากแหว่ง หรือเนื้องอกที่ผิวบางชนิด ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติบางอย่างได้
วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องอัลตราซาวด์
1. การตรวจครรภ์
สิ่งที่ควรรู้สำหรับคนที่อยากมีลูก คือ การอัลตร้าซาวด์ในระยะแรกการอาจใช้เพื่อคำนวณวันคลอด รวมถึงการตรวจดูการตั้งครรภ์นอกมดลูก ช่วยตรวจปัญหาขณะตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความพิการแต่กำเนิดของทารก ความผิดปกติของรก ทารกไม่กลับหัว เป็นต้น
นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการรู้ว่าเพศลูก การตรวจอัลตราซาวด์ก็สามารถบอกได้ ส่วนในภาวะคลอดก่อนกำหนด แพทย์ยังอาจใช้เครื่องมือนี้ช่วยประเมินน้ำหนักตัวของทารกได้ด้วย
บทความอ่านเพิ่มเติม : อยากเลือกเพศลูกทำได้ไหม? วิธีเลือกเพศบุตรแบบธรรมชาติ Vs เทคโนโลยี
2. การตรวจวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยภาวะผิดปกติที่กระทบต่ออวัยวะและเนื้อเยื่ออ่อนภายในร่างกายจำนวนมากสามารถทำได้ด้วยการอัลตราซาวด์ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ หลอดเหลือด ตับ ถุงน้ำดี ม้าม ตับอ่อน ไต กระเพาะปัสสาวะ มดลูก รังไข่ ดวงตา ต่อมไทรอยด์ หรือลูกอัณฑะ แต่ก็มีข้อจำกัดต่อการวินิฉัยบริเวณกระดูกที่มีความหนาแน่นหรือส่วนของร่างกายที่อาจประกอบด้วยอากาศหรือแก๊ส ซึ่งอาจทำได้ไม่ดีนัก เช่น สมอง กระดูกสันหลัง ลำไส้
3. การใช้ในกระบวนการทางการแพทย์
ยกตัวอย่างเช่น การตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจ อาจต้องใช้เครื่องอัลตราซาวด์เข้าช่วย เนื่องจากในกระบวนการนี้เป็นการตัดเนื้อเยื่อจากพื้นที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ การอัลตราซาวด์จะช่วยให้แพทย์เห็นภาพอวัยวะบริเวณนั้น และดำเนินการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ข้อดี – ข้อจำกัดของการตรวจอัลตร้าซาวด์ครรภ์
ข้อดีของการตรวจอัลตร้าซาวด์ครรภ์
- ไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดขณะทำการอัลตราซาวด์
- เครื่องอัลตราซาวด์ยังสามารถจับภาพเนื้อเยื่ออ่อนได้ชัดเจนกว่าการเอ็กซเรย์
- คุณพ่อคุณแม่สามารถทราบเพศของลูกได้ เมื่ออายุครรภ์ครบ 12 สัปดาห์ หรือถ้าให้แม่นยำจะอยู่ที่ 16 สัปดาห์
- ระยะเวลาในการตรวจครรภ์สั้นลง เนื่องจากสามารถมองเห็นร่างกายของทารกและอวัยวะต่างๆ ได้จากภาพที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
- อวัยวะภายนอกของทารกในครรภ์สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เช่น ใบหน้า แขน ขา นิ้วมือ
- สามารถเห็นพฤติกรรมของทารกในครรภ์ได้อย่างชัดเจน เช่น สามารถมองเห็นทารกกำลังหาว ดูดนิ้ว ยิ้ม กลืนน้ำคร่ำ กระพริบตา หรือขยับนิ้วมือ
ข้อจำกัดของการตรวจอัลตร้าซาวด์ครรภ์
- ไม่สามารถใช้ตรวจอวัยวะส่วนที่มีลมได้ เช่น ปอด กระเพาะอาหาร เป็นต้น
- ไม่สามารถใช้ตรวจอวัยวะที่เป็นกระดูก หรือถูกกระดูกบังได้ เพราะกระดูกจะสะท้อนคลื่นกลับหมด ไม่สามารถทะลุทะลวงลงไปยังอวัยวะต่างๆได้
ประโยชน์ของการตรวจอัลตร้าซาวด์ตอนท้อง
การอัลตร้าซาวด์มดลูกเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อผู้หญิงทุกคน เพราะการการอัลตร้าซาวด์มดลูกนั้นสามารถช่วยตรวจสอบความผิดปกติของมดลูก รังไข่ และกระเพาะปัสสาวะได้ ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับอวัยวะภายในเหล่านี้ก็จะสามารถรักษาได้ทันท่วงที
การอัลตร้าซาวด์ท้องตอนที่กำลังตั้งครรภ์ สามารถช่วยให้คุณหมอได้ดูพัฒนาการการเจริญเติบโตของทารก ทั้งระบบร่างกาย ประสาท และขนาดตัว ตรวจหาความผิดปกติที่อาจจะให้พิการแต่กำเนิด และตรวจยืนยันอายุครรภ์เพื่อกำหนดวันคลอดที่ถูกต้องปลอดภัย ดังนั้นการอัลตร้าซาวด์ท้องในระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นประโยชน์สูงสุดต่อคุณแม่และลูกน้อย
ตรวจอัลตร้าซาวด์แต่ละช่วงอายุครรภ์ บอกอะไรได้บ้าง
ไตรมาสที่ 1 (อายุครรภ์ 0-14 สัปดาห์)
การอัลตราซาวด์ครั้งแรกของการฝากครรภ์ จะเป็นการยืนยันว่าเป็นการตั้งครรภ์ในมดลูกหรือนอกมดลูก และใช้กำหนดอายุครรภ์ร่วมกับการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย โดยวัดความยาวของตัวอ่อน จากภาพอัลตราซาวด์ และการตรวจดูอวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกรานอย่างมดลูกและรังไข่ประกอบ ซึ่งภาพอัลตร้าซาวด์ท้องในแต่ละเดือนก็จะมีความสำคัญแต่ต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างเช่น การอัลตร้าซาวด์ท้อง 1 เดือนจะทำให้เห็นว่าผนังมดลูกของคุณแม่มีความหนาขึ้นเพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัว และในภาพอัลตร้าซาวด์ท้อง 1 เดือนนั้นจะยังไม่เห็นถุงการตั้งครรภ์ ในกลางไตรมาสที่ 1 หากมีการอัลตร้าซาวด์ รูปอัลตร้าซาวด์ 2 เดือนจะแสดงให้เห็นตัวของเด็กทารกที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เป็นต้น
ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 14-28 สัปดาห์)
ช่วงอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการประเมินดูความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์จากภาพอัลตร้าซาวด์ โดยสามารถอัลตร้าซาวด์มดลูกดูความสมบูรณ์ของอวัยวะต่างๆได้ ซึ่งภาพอัลตร้าซาวด์ แต่ละสัปดาห์ นั้นสามารถประเมินความสมบูรณ์ได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
- กะโหลกศีรษะ และ สมอง
- โครงสร้างใบหน้า ลูกตา เพดานปาก ริมฝีปาก
- ทรวงอก ปอด โครงสร้างของหัวใจ เส้นเลือดหัวใจ และการไหลเวียนของเลือด
- ช่องท้อง กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต กระเพาะปัสสาวะ
- เพศ
- โครงสร้างกระดูก กระดูกสันหลัง กระดูกแขน ขา มือ เท้า นิ้วมือและเท้า
- ปริมาณน้ำคร่ำ
- ประเมินน้ำหนักของทารกในครรภ์
- ตำแหน่งการเกาะของรกและสายสะดือ
ความผิดปกติที่พบบ่อย เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ สมองผิดปกติ หัวใจพิการ รกเกาะต่ำ หากตรวจพบความผิดปกติแต่กำเนิดในช่วงนี้ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม โดยการเจาะน้ำคร่ำหรือสายสะดือทารก เพื่อตรวจดูความผิดปกติของโครโมโซม รวมถึงการได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดและหลังคลอด
ไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 28 สัปดาห์จนถึงคลอด)
ในช่วงไตรมาสที่ 3 การอัลตร้าซาวด์ท้องจะช่วยตรวจดูน้ำหนักของทารกเพื่อประเมินทั้งน้ำหนักก่อนคลอด ท่าของทารก ปริมาณน้ำคร่ำ และภาพอัลตร้าซาวด์ยังสามารถยืนยันตำแหน่งการเกาะของรกว่ามีรกเกาะต่ำหรือไม่ เพื่อประเมินความเหมาะสมของวิธีการคลอด และตรวจดูความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ที่อาจตรวจพบได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 จะเห็นได้ว่าการอัลตร้าซาวด์ทารกนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่มองข้ามไม่ได้
การเตรียมตัวสำหรับคุณแม่ ก่อนตรวจอัลตร้าซาวด์
- การตรวจอัลตราซาวด์ในช่องท้อง ควรงดน้ำ งดอาหาร และยา ก่อนตรวจอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- การตรวจอัลตราซาวด์ในอุ้งเชิงกราน ผู้ตรวจจำเป็นต้องกลั้นปัสสาวะในตอนตรวจ แนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆ ก่อนทำการตรวจ เพราะน้ำในกระเพาะปัสสาวะจะเป็นตัวกลางส่งผ่านคลื่นเสียงไปยังอวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกรานที่อยู่หลังกระเพาะปัสสาวะ
ขั้นตอนการตรวจอัลตร้าซาวด์
การตรวจครรภ์ด้วยการอัลตราซาวน์มีด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่ การตรวจอัลตราซาวน์ทางหน้าท้อง และการตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอด โดยแต่ละวิธีมีขั้นตอนดังนี้
การตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องท้อง
- เริ่มต้นจากการให้คุณแม่นอนบนเตียง ทำความสะอาดบริเวณหน้าท้องให้สะอาด
- ทาเจลสำหรับอัลตราซาวน์บนหน้าท้องในบริเวณที่ต้องการตรวจ เพื่อช่วยให้คลื่นเสียงความถี่สูงสามารถผ่านได้ดียิ่งขึ้น
- เริ่มแตะหัวตรวจของเครื่องอัลตราซาวน์บนหน้าท้อง แล้วค่อยๆเลื่อนหัวตรวจไปตามตำแหน่งที่ต้องการ
- คลื่นเสียงที่ส่งผ่านหัวตรวจจะสะท้อนกลับมายังเครื่องรับและแปลผลเป็นภาพบนหน้าจอให้เห็นทันที
- แพทย์ผู้ตรวจจะคอยอธิบายภาพที่เห็น บอกผล และให้คำแนะนำกับคุณแม่
- โดยปกติแล้ววิธีนี้จะใช้เวลาในการตรวจประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
การตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอด
คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วงระยะแรก (อายุครรภ์ประมาณ 7-12 สัปดาห์) ถุงการตั้งครรภ์ยังมีขนาดเล็ก ทำให้ภาพจากการอัลตราซาวน์ทางหน้าท้องไม่ชัดเจน หรือคุณแม่ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน จนทำให้การตรวจอัลตราซาวน์ทางหน้าท้อง เห็นผลไม่ชัดเจน สามารถตรวจอัลตราซาวน์ทางช่องคลอดแทนได้
- โดยแพทย์จะสอดหัวอัลตราซาวด์เข้าไปในช่องคลอด (หัวอัลตราซาวด์จะมีลักษณะที่ต่างกับการอัลตราซาวด์หน้าท้อง)
- หัวตรวจจะเข้าใกล้ตำแหน่งของมดลูกและรังไข่ได้มากกว่าการตรวจทางช่องท้อง ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นภาพของมดลูกและรังไข่ได้ชัดเจนกว่า
วิธีอ่านค่าอัลตร้าซาวด์
การอัตราซาวด์ทารกสามารถทำให้เราได้เห็นถึงพัฒนาการของทารกในทุก ๆ ด้าน และการอัลตร้าซาวด์แบบละเอียดก็จะช่วยพิจารณาถึงความผิดปกติบางอย่างของทารกในครรภ์ได้ด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม หลายครั้งที่อาจจะต้องได้ยินคุณหมออ่านค่าการอัลตร้าซาวด์ด้วยตัวย่อ คุณแม่มือใหม่จึงควรศึกษาเอาไว้เพื่อฟังคุณหมอได้ให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งวิธีอ่านค่าอัลตร้าซาวด์มีดังนี้
- CRL = ความยาวตัวอ่อนจากหัวถึงก้น ใช้สำหรับคำนวณอายุครรภ์
- BPD = ความกว้างของศีรษะทารก
- HC = วัดเส้นรอบวงของศรีษะทารก
- AC = วัดเส้นรอบท้องของทารก
- FL = วัดกระดูกต้นขาของทารก
- EFW = ค่าประมาณน้ำหนักของทารก
- NT = ความหนาของเนื้อเยื่อต้นคอทารก ช่วยคัดกรองทารกดาวน์
- EDD = วันครบกำหนดคลอดโดยประมาณ
- EFW1 (HAD-1) = น้ำหนักโดยประมาณที่ได้มากจากสูตรที่ชื่อ Haddlock
- EFW2 (SHEPARD) = น้ำหนักโดยประมาณที่ได้มากจากสูตรที่ชื่อ Shepard
- FHS = ตรวจการเต้นของหัวใจด้วยคลื่นเสียง
- Gestational sac = ถุงการตั้งครรภ์
- Fetal cardiac pulsation = อัตราการเต้นของหัวใจทารก
- Placental site = ตำแหน่งรก
- Placental grading = ลักษณะเนื้อรก
การตรวจอัลตร้าซาวด์ครรภ์ ไม่เป็นอันตรายต่อทารก
ตั้งแต่มีการนำเครื่องอัลตราซาวด์มาใช้ในทางการแพทย์ ยังไม่มีรายงานถึงผลข้างเคียงที่เกิดจากการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ การทำบ่อยหรือไม่บ่อยแค่ไหนไม่มีอันตรายใดๆ แต่อยู่ที่ความจำเป็นในการตรวจ ถ้าเป็นการตรวจครรภ์โดยทั่วไปมักตรวจกันเดือนละ 1 ครั้ง หรือถ้าเคสไหนที่ต้องดูแลใกล้ชิดก็อาจจะเป็น 2 สัปดาห์ครั้ง ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของคนไข้แต่ละรายไป
แต่อย่างไรก็ดี ทุกอย่างมีข้อจำกัด โรคบางโรคก็ไม่สามารถตรวจได้ด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ หรือบางครั้งท่าเด็กก็ไม่เอื้อให้การอัลตร้าซาวด์สามารถมองเห็นได้
คำถามที่พบบ่อย
หากตั้งครรภ์แล้วไม่ตรวจอัลตร้าซาวด์ได้ไหม
สามารถทำได้ แต่คุณพ่อคุณแม่จะไม่ทราบได้เลยว่าถุงการตั้งครรภ์มาฝังและเจริญถูกที่หรือไม่ และลูกน้อยมีความสมบูรณ์แข็งแรงแค่ไหน หรือมีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งไม่แนะนำเพราะเมื่อเกิดอันตรายขึ้นมาแพทย์จะไม่สามารถแก้ปัญหาหรือรักษาได้ทัน
คุณแม่ควรเข้ารับการตรวจอัลตร้าซาวด์ตอนอายุครรภ์เท่าไหร่
ควรอัลตราซาวด์ตั้งแต่ที่ทราบว่าตั้งครรภ์ เพราะแพทย์จะอัลตราซาวด์เพื่อดูว่าถุงการตั้งครรภ์อยู่ถูกที่หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาด เช่น ตั้งครรภ์นอกมดลูก ควรอันตราซาวด์ตั้งแต่ทราบว่าตั้งครรภ์เลย
อัลตร้าซาวด์บ่อยอันตรายไหม
ตั้งแต่มีการใช้เครื่องอันตราซาวด์ในทางการแพทย์มา ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้น ดังนั้นการอัลตราซาวด์ไม่ว่าจะบ่อยหรือไม่บ่อยก็ไม่ส่งผลอะไรต่อทารก
ตรวจอัลตร้าซาวด์ บอกความผิดปกติหรือความพิการของทารกได้ไหม
การตรวจอัลตราซาวด์สามารถดูความผิดปกติของทารกได้ และควรทำช่วงอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์
อัลตร้าซาวด์อายุครรภ์ 1 เดือน จำเป็นไหม
การอัลตร้าซาวด์ท้องตอนอายุครรภ์ 1 เดือนยังไม่จำเป็น เพราะยังไม่เห็นทารกที่เป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่ จะเห็นเพียงก้อนเล็ก ๆ ที่อยู่ในท้องเท่านั้น
ผลตรวจอัลตร้าซาวด์ผิดพลาดได้หรือไม่
ผลตรวจอัลตร้าซาวด์สามารถผิดพลาดได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากเครื่องตรวจอัลตร้าซาวด์ได้รับความเสียหาย หรือไม่ก็คุณหมอที่อัลตร้าซาวด์ให้อาจจะไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญ ดังนั้นการเลือกสถานบริการและคุณหมอที่มีเอกสารรับรอง จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ตรวจอัลตร้าซาวด์แค่ช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ได้ไหม
การอัลตร้าซาวด์ควรเริ่มตรวจตั้งแต่ไตรมาสแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจพัฒนาการของทารกในครรภ์ และป้องกันความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นหากเลือกตรวจแค่ช่วงท้ายของการตั้งครรภ์อาจจะทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทัน
ข้อสรุป
การอัลตราซาวด์ คือ การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ที่มากกว่า 20,000 Hz จะใช้ในการตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจครรภ์ การอัลตราซาวด์มีด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภท คือ การอัลตราซาวด์แบบ 2มิติ 3มิติ และ 4มิติ
โดยที่หากต้องการเตรียมตัวที่จะอัลตราซาวด์ ควรงดน้ำ งดอาหาร และยา ก่อนตรวจอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือถ้าเป็นการอัลตราซาวด์ในอุ้งเชิงกราน จะแนะนำให้กลั้นปัสสาวะขณะตรวจ เนื่องจากน้ำในกระเพาะปัสสาวะจะเป็นตัวกลางในการส่งผ่านคลื่นเสียงไปยังอวัยวะอื่นๆ
สำหรับคุณแม่อายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์ แนะนำให้มาตรวจอัลตราซาวด์เพื่อยืนกันอายุครรภ์ โดยการวัดความยาวตั้งแต่ศีรษะถึงกระดูกก้นกบ ทำให้ทราบกำหนดวันคลอดที่แน่นอน หากคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนสนใจ หรือมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @beyondivf