ต่อมลูกหมากอักเสบ

อาการอัณฑะอักเสบ เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนอวัยวะส่วนอื่น ๆ บนร่างกาย พบได้กับผู้ชายในทุกช่วงวัย และพบมากในกลุ่มวัยรุ่น มีอาการเกิดจากการติดเชื้อหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้อาการอัณฑะอักเสบยังส่งผลให้ลูกอัณฑะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติร่วมไปถึงส่งผลให้ลูกอัณฑะฝ่อได้

Table of Contents

อัณฑะอักเสบ (Orchitis)

อัณฑะอักเสบ (Orchitis) คือ อาการติดเชื้อจากไวรัสและแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อร่วมกับท่อนำอสุจิ อาการอัณฑะอักเสบเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้างพร้อม หรือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ อาการเหล่านี้จะทำผลเสียได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้เชียวชาญ เช่น ส่งผลให้เข้าข่ายบุตรยาก  และอาการเจ็บป่วยขั้นรุนแรง

อาการอัณฑะอักเสบ

อัณฑะบวม

อาการอัณฑะอักเสบ  เกิดขึ้นกับจากความผิดปกติบริเวณอัณฑะ ส่งผลทำให้มีลักษณะอาการ ดังนี้

  • อัณฑะมีอาการบวม / แดง
  • อัณฑะมีลักษณะบวมแข็ง
  • มีอาการเจ็บ / ปวดบริเวณขาหนีบ
  • เกิดอาการปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีอาการอ่อนเพลีย
  • รู้สึกหนักบริเวณอัณฑะ
  • มีอาการเจ็บหรือปวดขณะปัสสาวะ
  • หลั่งอสุจิมีเลือดปน

สาเหตุอัณฑะอักเสบ

อาการอัณฑะอักเสบ เป็นอาการที่เกิดจาการติดเชื้อจากไวรัสและแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อร่วมกับท่อนำอสุจิ จนส่งผลทำให้เกิดอาการอักเสบที่บริเวณอัณฑะ  และสามารถเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น

ภูมิคุ้มกันต่ำ

  • ติดเชื้อ HIV

HIV ก็คือไวรัสชนิดหนึ่งที่ส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 

ติดเชื้อแบคทีเรีย

  • จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

มักพบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นชาย เช่น โรคหนองใน , โรคหนองในเทียม ส่วนใหญ่มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยาง

  • จากโรคอื่นๆ

ผู้มีภาวะอัณฑะอักเสบมักเกิดอาการร่วมกับถุงอสุจิอักเสบ , การติดเชื้อจากทางเดินปัสสาวะ

ติดเชื้อไวรัส

สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูม (Mump virus) ส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการอัณฑะอักเสบร่วมด้วย

อัณฑะอักเสบแบบไม่ติดเชื้อ

เกิดได้จากการรับประทานยาบางชนิดก่อให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ หรือเกิดในโรคหลอดเลือดอักเสบ

กลุ่มผู้เสี่ยงอัณฑะอักเสบ

อาการอัณฑะอักเสบเกิดได้อย่างเฉียบพลัน อาจเกิดได้จากปัญหาทางสุขภาพ หรือพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยง หากไม่ได้รับการรักษาสามารถทำให้เกิดผลกระทบได้

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดอัณฑะอักเสบ

  • มีการเปลี่ยนคู่นอนตลอด
  • มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
  • มีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทางเดินปัสสาวะ
  • เป็นโรคที่ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
  • ไม่เคยได้รับวัคฉีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสคางทูม

อาการอัณฑะอักเสบที่ควรพบแพทย์

อาการอัณฑะอักเสบ อัณฑะจะมีลักษณะแข็งร่วมกับบวมแดง สามารถเกิดขึ้นได้ 2 ข้างหรือข้างใดข้างหนึ่งมีอาการหน่วงๆ ที่อัณฑะพร้อมอาการปวดบริเวณขาหนีบอาการเหล่านี้หากมีมากกว่า 2 วัน ยังไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาให้ถูกวิธี 

  • มีไข้สูง 
  • คลื่นไส้/ อาเจียน
  • เจ็บหน่วงบริเวณอัณฑะขึ้นเรื่อยๆ
  • มีเลือดออกพร้อมปัสสาวะ
  • มีอาการเจ็บและปวด เมื่อกดบริเวณขาหนีบและอัณฑะ

การวินิจฉัยภาวะอัณฑะอักเสบ

1. การซักประวัติเบื้องต้น

หากเมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติ  เข้าข่ายอาการเบื้องต้นของภาวะอัณฑะอักเสบ ให้รีบเข้าปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุ โดยแพทย์จะเริ่มจากการเช็คประวัติเบื้องต้น

  • อายุผู้ป่วย
  • อาการเบื้องต้นของภาวะอัณฑะอักเสบ
  • เช็คประวัติการร่วมเพศ
  • เช็คประวัติการป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ 
  • ประวัติเกี่ยวข้องกับปัญหาทางเดินปัสสาวะ
  • เช็คประวัติที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ

2. การตรวจปัสสาวะ

  • เก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ป่วย
  • วิเคราะห์ผลเพื่อหาสาเหตุการติดเชื้อ

3. การตรวจอัลตราซาวด์

  • ตรวจการไหลเวียนของเลือดบริเวณอัณฑะ
  • ตรวจหาอาการผิดปกติอื่นๆ

4. การตรวจเลือด

การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV)

  • ตรวจในกรณีแพทย์มีข้อสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อ
  • ตรวจเมื่อผู้ป่วยมีภาวะเสี่ยง

5. การตรวจและคัดกรองโรคทางเพศสัมพันธ์

  • จะใช้วิธีนี้ตรวจในกรณีที่มีสารคัดหลั่งออกมาจากท่อนำปัสสาวะ 
  • เพื่อตรวจหาเชื้อโรคหนองในแท้,  โรคหนองในเทียม

อัณฑะบวม วิธีรักษา

ผู้ป่วยที่มีอาการอัณฑะอักเสบ หรือผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้ ไม่ส่งผลเสียต่อการเจริญพันธ์ ในขั้นตอนการรักษาภาวะอัณฑะอักเสบจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคลว่าเกิดจากสาเหตุใดตามการวินิจฉัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

  • อัณฑะอักเสบมีสาเหตุเกิดจากการติดชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะใช้วิธีการรักษาโดยใช้ยาแก้อักเสบและยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาให้หมดตามคำสั่งแพทย์ แม้อาการการจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้ร่างกายหายจากการติดเชื้ออาจใช้ระยะเวลาในการรักษา
  • อัณฑะอักเสบมีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส  การรักษาจะเน้นไปที่การบรรเทาอาการเจ็บของผู้ป่วยโดยใช้ยาต้านการอักเสบ 
  • ใช้วิธีการประคบเย็นช่วยในการบรรเทาอาการ ไม่เกิน 20 นาที/ครั้ง ข้อควรระวังคือห้ามให้นำแข็งสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ในช่วงระยะแรกควรใช้วิธีประคบเย็นหลายครั้งต่อวันเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและบวม
  • พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือการยกของหนัก ควบคู่ไปกับการรับประทานยาที่แพทย์จัดให้
  • หากอาการุนแรงมากขึ้นแพทย์จะพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาด้วยวิธีการฉีดยาเข้าเส้นเลือด
อัณฑะบวม วิธีรักษา

1. การประคับประคองอาการ

  • ทานยาแก้ปวด 

เพื่อบรรเทาอาการปวดบริเวนขาหนีบและอัณฑะ

  • ยาลดไข้ 

เพื่อบรรเทาอาการเมื่อมีไข้ขึ้นสูง

  • ยาในกลุ่ม NSAIDs  

กลุ่มยาชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ใช้บรรเทาอาการอักเสบ

2. การรักษาที่ต้นเหตุโรค

  • กรณีติดเชื้อแบคทีเรีย 

แพทย์จะใช้วิธีการรักษาด้วยการจ่ายยาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบ

  • กรณีติดเชื้อไวรัส

แพทย์จะเน้นรักษาเพื่อช่วยบรรเทาอาการอักเสบด้วยยาต้านอักเสบ เช่น ยาไอบรูโพรเฟน

  • กรณีอื่นๆ

หากอาการรุนแรงมากขึ้นแพทย์จะพิจารให้ยาผ่านเส้นเลือด

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากอัณฑะอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นขณะมีอาการอัณฑะอักเสบคือ อาจจะส่งผลให้มีลูกยาก จากสาเหตุการอักเสบของท่อเก็บอสุจิ อาการเสื่อมของเนื้อเยื้อบริเวณอัณฑะ มีรูทะลุบริเวณผิวหนังถุงอัณฑะ ผู้ป่วยที่มีอาการอัณฑะอักเสบเกิดจากการไวรัสคาทูมได้เช่นกัน นอกจากนี้ผู้ป่วยภาวะอาการอัณฑะอักเสบจะมีความผิดปกติในตัวอสุจิได้หลังจากเกิดอาการอัณฑะอักเสบ หากมีอาการบวมเล็กน้อยที่ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด แนะนำให้เข้าปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งอัณฑะ

แนวทางการป้องกันโรคอัณฑะอักเสบ

ลูกอัณฑะบวม วิธีรักษา

วิธีการในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอัณฑะอักเสบ สามารถทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • รักษาสุขภาพอนามัย
  • ใส่ถุงอนามัยป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนหลายคน
  • ไม่ซื้อยาใช้เองโดยไม่ได้ผ่านการพิจารณาจากแพทย์
  • เมื่อเสี่ยงเป็นโรคติดต่อควรพบแพทย์เพื่อรักษาทันที
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม

คำถามที่พบบ่อย

อัณฑะอักเสบ กินยาอะไร?

  • ยาแก้ปวด
  • ยาลดไข้
  • กลุ่มยา NSAIDs
  • ยาแก้อักเสบ
  • ยาลดอาการคลื่นไส้/อาเจียน

อัณฑะอักเสบ ห้ามกินอะไร?

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการขาดสติจนทำให้เกิดการมีเพศสสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
  • ไม่ควรรับประทานยาพร่ำเพื่อโดยไม่ผ่านการพิจารณาจากแพทย์

ข้อสรุป

อัณฑะอักเสบ (Orchitis) คือ เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เหมือนอวัยวะส่วนอื่น ๆ บนร่างกายซึ่งเกิดขึ้นได้กับผู้ชายในทุกช่วงวัย พบมากในกลุ่มวัยรุ่นเพราะขาดการป้องกันจากการมีเพศสัมพันธ์ ส่งผลให้เกิดภาวะเสี่ยงอัณฑะอักเสบ อาการเหล่านี้เกิดจากติดเชื้อจากไวรัสและแบคทีเรียหรืออาจเกิดจากการติดเชื้อร่วมกับท่อนำอสุจิ อาการอัณฑะอักเสบเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้างพร้อม หรือข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจทำส่งผลเสียในระยะยาวได้ เช่น ส่งผลให้เข้าข่ายบุตรยาก  ทั้งนี้หากคุณผู้ชายท่านใดมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line@ : @beyondivf