วัยทอง (Menopause) ถือเป็นคำพูดติดปากของคนทั่วไป มักใช้เวลาเปรียบกับเพื่อนหรือคนใกล้ที่มีอารมณ์หงุดหงิด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบความหมายของคำว่าวัยทองว่าจริงๆ แล้ววัยทองคืออะไร วันนี้มาทำความรู้จักกับช่วยวัยทองกัน ว่าสาเหตุของวัยทองเกิดจากอะไร ช่วงอายุไหนที่เริ่มต้นเข้าสู่ช่วงวัยทอง มีอาการและสัญญาณเตือนก่อนเข้าสู่วัยทองอย่างไรบ้าง และควรรับมืออย่างไร
วัยทอง (Menopause)
วัยทอง (Menopause) คือ ภาวะที่ผู้หญิงเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน ซึ่งเมื่อเข้าสู่วัยทองรังไข่จะหยุดทำงาน หยุดสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ไม่มีการตกไข่ และส่งผลให้ไม่มีประจำเดือน ผู้ที่จะเข้าสู่วัยทองมีอายุประมาณ 45-55 ปีนั่นเอง
วัยทองแบ่งเป็นกี่ระยะ
โดยทั่วไปแล้ววัยทองจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่
1. ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause)
ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause) เป็นระยะเริ่มแรกของการหมดประจำเดือน ทำให้ผู้หญิงประจำเดือนมาไม่ปกติ และมีอาการทางร่างกาย เช่น ร้อนวูบวาบ มึนศีรษะ อ่อนเพลีย อารมณ์จะแปรปรวน ซึ่งระยะนี้จะเกิดประมาณ 2-3 ปี
2. ระยะหมดประจำเดือน (Menopause)
ระยะหมดประจำเดือน (Menopause) จะเป็นระยะที่นับตั้งแต่ประจำเดือนไม่มาต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งระยะก็ยังคงส่งผลให้มีอารมณ์แปรปรวน มีอาการร้อนวูบวาบ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เนื่องจากร่างกายหยุดสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนนั่นเอง
3. ระยะหลังหมดประจำเดือน (Postmenopause)
ระยะหลังหมดประจำเดือน (Postmenopause) เป็นระยะที่เริ่มตั้งแต่หลังหมดประจำเดือนมาแล้ว 1 ปี ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ช่องคลอดตีบแคบ กระดูกพรุน และเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
อาการสัญญาณเตือน ‘วัยทอง’
สำหรับสัญญาณเตือนการเข้าสู่วัยทอง มีลักษณะอาการดังนี้
อาการในระยะสั้น
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ มาติดกันหรือห่างจากกันมาก บางรายอาจมีเลือดออกผิดปกติ
- อาการร้อนวูบวาบ จากการแปรปรวนของระดับฮอร์โมน ทำให้ร่างกายควบคุมอุณหภูมิผิดปกติ โดยจะมีอาการมากในช่วง 2-3 ปี แรก หลังหมดประจำเดือน และจะค่อยๆ ลดลงภายใน 1-2 ปี
- นอนไม่หลับ มาจากสาเหตุของอาการร้อนวูบวาบ
- ด้านจิตใจ มักพบเกิดอาการซึมเศร้า อารมณ์หงุดหงิด มีความวิตกกังวลง่าย
- ช่องคลอดแห้ง จากระดับเอสโตรเจนที่ลดลง ทำให้มีปัญหาในการร่วมเพศ มีอาการคัน มีการอักเสบของช่องคลอด มดลูก และช่องคลอดหย่อน ความต้องการทางเพศลดลง
- โอกาสมีลูกน้อยลง จากการตกไข่ที่ไม่แน่นอน และไม่สามารถมีลูกได้อย่างถาวร หลังประจำเดือนหมด 1 ปีเต็ม
- ผิวหนังเหี่ยวแห้ง ขาดความยืดหยุ่น เป็นแผล และกระได้ง่าย
- เต้านมเล็กลง หย่อน ไม่เต่งตึง
อาการในระยะยาว
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด หลังหมดประจำเดือน ร่างกายจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันมากขึ้น เนื่องจากจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนทำหน้าที่สำคัญในการลดไขมันไม่ดี
- กระดูกพรุน การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนของวัยหมดประจำเดือนจะทำให้มีการทำลายเนื้อกระดูกมากขึ้นถึงร้อยละ 5 ต่อปี จนทำให้เกิดเป็นโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ และกระดูกสะโพก เป็นต้น
- ปัญหาของทางเดินปัสสาวะ ผลจากระดับกระดูกสันหลังที่ลดลงทำให้เยื่อบุผนังท่อปัสสาวะบางลง และกระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน ทำให้มีอาการแสบร้อนขณะปัสสาวะ และมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- น้ำหนักขึ้นและเริ่มอ้วน ผลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงทำให้มีผลต่อระบบการเผาผลาญ ทำให้มีการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องมากขึ้น
วัยทองเกิดจากสาเหตุใด
สาเหตุของวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน เกิดจากร่างกายผู้หญิงที่ไม่มีการตกไข่ เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน ไม่ผลิตฮอร์โมนเพศอย่างฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนแล้ว ซึ่งภาวะนี้เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้นจนเข้าสู่วัยชรา สภาพร่างกายย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง ระบบต่างๆ ภายในก็ทำงานเสื่อมประสิทธิภาพลง
วัยทองก่อนวัยอันควร (Premature Menopause)
วัยทองก่อนวัยอันควร (Premature Menopause) เกิดจากรังไข่หยุดทำงานหรือรังไข่เสื่อมเร็วกว่าปกติ ซึ่งวัยทองก่อนวัยอันควรอาจเกิดขึ้นได้ในผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 30 ปี บางคนอาจจะเกิดขึ้นจากกรรมพันธุ์ หากมีคนในครองครัวหมดประจำเดือนเร็วก็อาจจะมีสิทธิ์หมดเร็วไปด้วย
การเตรียมตัวเข้าสู่วัยทอง
สำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่วัยทอง มีดังนี้
- งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ และของมึนเมาทุกชนิด
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ งดอาหารจำพวกของมัน ของทอด เพิ่มสารอาหารประเภทเส้นใยจากผักและผลไม้แทน
- เสริมแคลเซียมให้ร่างกาย ซึ่งแคลเซียมจะมีอยู่มากในอาหารประเภทถั่ว งา ผักใบเขียว และผลิตภัณฑ์จากนมพร่องมันเนย หรือจะรับประทานเป็นยาเม็ดแคลเซียมก็ได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสม
- พักผ่อนอย่างจริงจัง ควรหาเวลาพักผ่อนจากงานประจำที่ทำอยู่ และออกไปทำกิจกรรมต่างๆที่ตนเองชอบเพื่อผ่อนคลายความเครียด
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยหลักๆ แล้วควรที่จะได้รับการตรวจสุขภาพในเบื้องต้น เช่น การวัดความดันโลหิต การตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะและอุจจาระ ในผู้หญิงเราอาจมีการตรวจเต้านมและตรวจภายใน รวมทั้งการตรวจมะเร็งปากมดลูกร่วมด้วย
วิธีดูแลตัวเองในวัยทอง
วิธีดูแลตัวเองในช่วงวัยทอง มีดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพิ่มขึ้น เช่น ผักใบเขียวทุกชนิด งาขาว งาดำ นม กุ้งแห้ง กุ้งฝอย ปลาเล็กปลาน้อย และอาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน ได้แก่ ถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ถั่วแดง ฟักทอง กะหล่ำปลี บรอกโคลี แครอท ข้าวกล้อง เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนและช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม
- งดหรือลดอาหารประเภทแป้ง ของมัน ของทอด อาหารเค็ม น้ำหวาน ชา กาแฟ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพราะอาจทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน และกระวนกระวายมากขึ้น รวมทั้งงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และงดการสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ โยคะ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ควรออกกำลังกายแบบโลดโผนหรือที่ต้องใช้แรง โดยเฉพาะข้อเข่าหรือการออกกำลังกายที่ทำให้เข่ารับน้ำหนักมากจนเกินไป เพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้ข้อเข่าเสื่อมได้
- นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ควรเข้านอนให้เป็นเวลา และนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพราะจะช่วยเพิ่มความจำ และทำให้มีสุขภาพที่ดีมีอายุยืนยาว
- ผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม ฝึกทำจิตใจให้สบาย ฝึกจิตให้สงบ นั่งสมาธิเมื่อมีเวลาว่าง พยายามอย่าเครียดเพราะความเครียดจะส่งผลเสียทั้งต่อตัวเองและผู้คนรอบข้าง
อาการวัยทองรักษาได้หรือไม่
1. การรักษาอาการวัยทองโดยไม่ใช้ฮอร์โมน
วิธีการรักษาอาการร้อนวูบวาบ
- สังเกตสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบและหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่หรือการสัมผัสกับอากาศที่ร้อนมาก
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารร้อน เครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น คาเฟอีน และแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารที่มีวิตามินอี และวิตามินบี คอมเพล็กซ์ รวมถึงอาหารเสริมของสารเหล่านี้
- งดสูบบุหรี่
- ผ่อนคลายจิตใจ และหลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดมีผลทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้น
วิธีการรักช่องคลอดแห้งและปัสสาวะบ่อย
- ใช้ครีมเอสโตรเจนทาเพื่อกระตุ้นให้เลือดมาหล่อเลี้ยงช่องคลอดมากขึ้น
- ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยกระตุ้นสภาวะการไหลเวียนเลือดที่ดีในช่องคลอด และทำให้ช่องคลอดยืดหยุ่นมากขึ้น
วิธีรักษาอาการนอนไม่หลับและอารมณ์แปรปรวน
- ใช้ยาลดอาการซึมเศร้า เช่น ยาในกลุ่ม SSRI รวมถึงทำกิจกรรมนันทนาการเพื่อผ่อนคายความเครียด และทำให้จิตใจแจ่มใส
วิธีรักษาอาการกระดูกพรุน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือการทำงานหนัก
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดีสูง
- การใช้ฮอร์โมนเสริม แต่อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งมากขึ้น
วิธีรักษาอาการผมร่วง
- รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อยับยั้งการสร้างไดไฮโดรเทสโทสเตอโรนที่เป็นสาเหตุทำให้รากผมอ่อนแอ
- สระผมอย่างสม่ำเสมอเพื่อกำจัด และป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นสาเหตุการทำลายรากผม และหนังศีรษะ รวมถึงใช้ยาสระผมที่มีสารกระตุ้นการงอกใหม่หรือสารที่ช่วยบำรุงเส้นผม
2. การรักษาอาการวัยทองโดยการใช้ฮอร์โมน
ฮอร์โมนทดแทนที่มีการใช้ในช่วงวัยทอง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ร่างกายขาดไป นอกจากนั้น ยังใช้สารอื่นที่ออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือ โปรเจสเตอโรน เช่น
- การกินยา ทำให้ระดับไขมันที่ดีสูงขึ้น แต่จะทำให้ฮอร์โมนในเลือดไม่คงที่จากตับถูกทำลาย
- การฉีด ยาจะไม่ผ่านตับ และระดับไขมันที่ดีจะไม่เพิ่มเหมือนชนิดกิน
- การใช้แผ่นปิด (estrogen-filled patch)โดยใช้ปิดที่แขนหรือก้น สามารถใช้ได้หลายวัน
- การฝังฮอร์โมน วิธีนี้จะทำให้ฮอร์โมนในเลือดสูงเกินมากกว่าปกติ 2-3 เท่า
- ครีมฮอร์โมนทาที่ผิวหนัง
- ครีมฮอร์โมนทาที่ช่องคลอด ซึ่งจะเหมาะกับผู้ที่มีอาการช่องคลอดแห้ง
ประโยชน์ของการใช้ฮอร์โมนทดแทน
- ป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ป้องกันโรคหัวใจ
- ลดอาการวัยทอง
- ลดอาการร้อนวูบวาบ
- ลดอาการช่องคลอดแห้ง และคัน ทำให้ช่องคลอดเต่งตึง ไม่แห้ง
- ลดอาการปัสสาวะเล็ด
- ใช้รักษาอาการร้อนวูบวาบ
- ใช้ลดอารมณ์แปรปรวน และนอนไม่หลับ
- ใช้ป้องกันโรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม มะเร็งลำไส้ และลดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฮอร์โมนทดแทน
- ผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูก
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่เกิดลิ่มเลือดที่เท้า
- ผู้ที่มีประจำเดือนผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ
อาการข้างเคียงจากการใช้ฮอร์โมนทดแทน
- คัดเต้านม
- ท้องอืด ท้องบวมจากภาวะตับถูกทำลาย
- มีประจำเดือน
ผลเสียการใช้ฮอร์โมนทดแทน
- เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ในปริมาณที่สูง และใช้ติดต่อกันนาน 10-15 ปี ซึ่งการใช้ฮอร์โมนทดแทนไม่ควรใช้ติดต่อนานเกิน 5 ปี
- มีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดี โดยเฉพาะการใช้แบบรับประทาน หากต้องการป้องกันโรคดังกล่าวควรใช้แบบชนิดปิดหรือชนิดทา
วัยทองสามารถตั้งครรภ์ได้ไหม
ผู้หญิงเมื่อมีอายุเข้าใกล้วัยทองปริมาณไข่และคุณภาพของไข่จะเสื่อมถอยลง โอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติของผู้หญิงใกล้วัยทองจะยากมากขึ้น จนเข้าสู่ภาวะมีบุตรยาก หากต้องการตั้งครรภ์อาจต้องใช้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ (เด็กหลอดแก้ว IVF / ICSI) เนื่องจากช่วงใกล้วัยทอง เป็นช่วงวัยที่ฮอร์โมนเพศจะลดลงอย่างมาก ทำให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม
ข้อสรุป
วัยทอง (Menopause) คือ ภาวะที่ผู้หญิงเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือนอย่างถาวร เพราะเป็นช่วงที่รังไข่หยุดทำงานจึงส่งผลให้ไม่เกิดการตกไข่อีก วัยทองมักจะเริ่มต้นในช่วงอายุประมาณ 45-55 ปี โดยอาการและสัญญาณเตือนก่อนเข้าสู่วัยทอง คือ ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ซึ่งควรเตรียมตัวก่อนเข้าสู่วัยทอง มีวิธีดังนี้ เสริมแคลเซียมให้ร่างกาย ออกกำลังกายอย่าสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสุขภาพประจำทุกปี ภาวะวัยทองจะอยู่กับเราเพียง 3-5 ปีเท่านั้น หากเราดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อาการวัยทองที่คอยกวนใจก็จะค่อยๆ หายไปได้ไวมากขึ้น ทั้งนี้ท่านใดมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @beyondivf